รายการ สถานีสุวรรณภูมิ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน




คือบัณฑิตเพลิงชมพูครุศาสตร์
มหาบัณฑิตสมมาดสาวอักษร
จามจุรีศรีจุฬาถิ่นนาคร
ที่เสกพรให้เป็น"ครู"รู้ค่างาน

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เรื่องสั้นซีไรต์ ๗ เล่มที่เข้ารอบสุดท้ายปี ๒๕๕๔

ข่าวประกวดรางวัลซีไรต์ ประจำปี 2554
งานประกาศผลรางวัลซีไรต์ปี 2554
คณะกกรมการดำเนินงานรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) จัดงานแถลงข่าวประกาศผลรางวัลซีไรต์ประจำปี 2554 ใน วันอังคารที่ 20 กันยายน 2554 ณ ห้องเจ้าพระยา โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เวลา 14.00 น.

งานพระราชทานรางวัลซีไรต์ประจำปี 2554
งานพระราชทานรางวัลซีไรต์ประจำปี 2554 (ปีที่ 33) โดย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จะเสด็จพระราชทานรางวัล ในวันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2554 ณ ห้องรอยัลบอลรูม โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เวลา 19.30 น.

ผลการคัดเลือกรอบสุดท้าย 7 เล่มซีไรต์
19 กรกฎาคม 2554
เรื่อง ผลการพิจารณาคัดเลือกรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน ประจำปี 2554
เรียน ประธานกรรมการดำเนินการรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน
    คณะกรรมการคัดเลือกรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ได้พิจารณาคัดเลือกหนังสือรวมเรื่องสั้นที่ส่งเข้าประกวดรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน
ประจำปี 2554 จำนวน 83 เล่มแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ให้เสนอหนังสือรวมเรื่องสั้น 7 เล่ม ดังมีรายชื่อซึ่งเรียงตามลำดับตัวอักษรของชื่อเรื่องต่อไปนี้ ให้คณะกรรมการตัดสินพิจารณาในวาระต่อไป

1. 24  เรื่องสั้นของฟ้า ของ  ฟ้า  พูลวรลักษณ์
2. เรื่องของเรื่อง ของ  พิเชษฐ์ศักดิ์  โพธิ์พยัคฆ์
3. แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ ของ  จเด็จ  กำจรเดช
4. กระดูกของความลวง ของ  เรวัตร์  พันธุ์พิพัฒน์
5. นิมิตต์วิกาล ของ  อนุสรณ์  ติปยานนท์
6. บันไดกระจก ของ  วัฒน์ ยวงแก้ว
7. ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต ของ  จักรพันธุ์ กังวาฬ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

1. นายฐนธัช  กองทอง ประธานกรรมการคัดเลือก
2. นายโตมร  ศุขปรีชา กรรมการ
3. นางนรีภพ  จิระโพธิรัตน์ สวัสดิรักษ์ กรรมการ
4. ผู้ช่วยศาสตราจารย์นัทธนัย ประสานนาม กรรมการ
5. รองศาสตราจารย์ประทีป เหมือนนิล กรรมการ
6. ดร.พิเชฐ  แสงทอง กรรมการ
7. ดร.อารียา  หุตินทะ กรรมการ


ภาพรวมของเรื่องสั้นที่ส่งเข้าประกวดรางวัลซีไรต์ ประจำปี 2554

    คณะกรรมการคัดเลือกได้ร่วมกันสรุปภาพรวมของเรื่องสั้นที่ส่งเข้าประกวดรางวัลซีไรต์
ประจำปี 2554  ดังนี้
    เรื่องสั้นที่ส่งเข้าประกวดมีเนื้อหาหลากหลาย ปัญหาของสังคมยังเป็นวัตถุดิบที่ทรงพลัง นักเขียนให้ความสนใจปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ความขัดแย้งที่เกิดจากความแตกต่างของคนในสังคม การพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัยตามกระแสทุนนิยมเสรีโลกาภิวัตน์และสังคมเสมือน ซึ่งส่งผลต่อวิถีชีวิตดั้งเดิม โดยเฉพาะในด้านความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อม และจริยธรรม อย่างไรก็ตาม การเสนอปัญหาของท้องถิ่นยังมิได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก นักเขียนมุ่งเสนอภาพในมุมมองที่ขยายวงมากกว่าเดิม  กล่าวคือ นอกจากจะชี้ให้เห็นว่าชนบทเป็นผู้ถูกกระทำจากภายนอกอย่างไม่มีทางเลือกแล้ว ในบางกรณี ปัญหาของมนุษย์ก็เกิดจากคนที่อยู่ในชุมชนนั้นเอง ส่วนเนื้อหาที่มุ่งเสนอเรื่องราวของวิถีชีวิตสมัยใหม่ นักเขียนแสดงให้เห็นถึงความสับสน ความแปรปรวนของชีวิต ภาวะของความเป็นมนุษย์ถูกลดทอนลงไป  ท่าทีในการแสดงออกต่อปัญหาต่างๆ ทั้งปัญหาในชนบทและวิถีชีวิตสมัยใหม่
มีทั้งการเสียดสียั่วล้อเพื่อกระตุกให้ผู้อ่านย้อนกลับมาหยั่งถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็มีนักเขียนที่แสดงความห่วงใยต่อสังคม และมีทั้งการเผชิญหน้าด้วยการตั้งคำถามถึงปรากฏการณ์ต่างๆ ของสังคมผ่าน “โลกภายใน” ของตัวละคร และน้ำเสียงของนักเขียน  อย่างไรก็ตามนักเขียนมีแนวโน้มขยายเรื่องราว
ของตนผ่านการข้ามพรมแดนไปสู่โลกที่กว้างใหญ่ขึ้น ทั้งพรมแดนในด้านชาติพันธุ์  พรมแดนด้านรัฐชาติพรมแดนด้านเพศ และพรมแดนด้านการเล่าเรื่อง
    เมื่อพิจารณาในด้านกลวิธีการนำเสนอแล้ว พบว่านักเขียนส่วนหนึ่งยังคงนำเสนอเรื่องสั้นตามขนบ    แบบที่นิยมกันมาเป็นเวลานาน ดังระบุไว้ในทฤษฎีการประพันธ์เรื่องสั้น  หากแต่ภายใต้โครงสร้างดังกล่าวนักเขียนได้สร้างความเข้มข้นและความซับซ้อนของเนื้อหาด้วยมุมมองหลากหลาย แม้ว่าปัญหาหลายอย่างที่เสนอในเรื่องสั้นจะเป็นภาพที่หยุดนิ่ง ไม่ต่างจากเรื่องสั้นก่อนหน้านี้  แต่ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าปรากฏการณ์ของสังคมที่ถาโถมใส่มนุษย์มีความยิ่งใหญ่เกินกว่าจะรับมือและต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงได้
    ส่วนการนำเสนออีกรูปแบบหนึ่งนั้นนักเขียนได้พยายามทดลองนำเสนอเรื่องสั้นของตนด้วยกลวิธีต่างๆ โดยพยายามสร้างสรรค์แบบอย่างเฉพาะตนขึ้น เป็นการสร้างอัตลักษณ์การเขียนเรื่องสัั้นของตนขึ้นมา ลักษณะดังกล่าวเป็นการสร้างสีสันใหม่ๆ ให้แก่วงการประพันธ์เรื่องสั้นของไทย ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มของการเขียนเรื่องสั้นไทยในอนาคต  กลวิธีการเขียนเรื่องสั้นที่เน้นอัตลักษณ์เฉพาะตนชวนให้ตื่นตาตื่นใจ ปลุกเร้าให้ขบคิด
ตีความ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงคุณภาพของเรื่องสั้นโดยรวมแล้ว  พบว่าประพันธศิลป์เชิงสร้างสรรค์ทั้งด้านเนื้อหาและการนำเสนอนั้นยังอยู่ระหว่างการแสวงหาลักษณะเฉพาะของยุคสมัยที่โน้มนำให้เชื่อว่ายังมีเส้นทางข้างหน้าอีกยาวไกล


คำนิยมหนังสือเข้ารอบ
ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำตลอดชีวิต
ของ
จักรพันธุ์ กังวาฬ

    คำโปรยด้านหลังของหนังสือกล่าวว่าผู้เขียนเป็นทั้งนักเขียนและคนทำสารคดี รวมเรื่องสั้นเล่มนี้จึงเป็นการคลี่คลายคลังข้อมูลในงานสารคดีอันเป็น ‘เรื่องจริง’ จนกลายมาเป็น ‘เรื่องแต่ง’ ในรูปของเรื่องสั้นจำนวน 8 เรื่อง
    คลังข้อมูลที่หลากหลายนั้น ไม่ได้มาจากการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลเพียงอย่างเดียว ทว่ายังมาจากการครุ่นคิดถึงทั้งข้อมูลที่ได้รับจากภายนอกและอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในตัวของผู้เขียนเมื่อต้องปะทะกับข้อมูลเหล่านั้นด้วย ที่สุดจึงเกิดเป็น ‘เรื่องเล่า’ อันทรงพลัง และหลากหลายเข้มข้นด้วยรูปแบบที่แตกต่างกันไปในแต่ละเรื่อง บางเรื่องมีลักษณะแบบสัจนิยมที่ให้รายละเอียดผสานไปกับการวิพากษ์สังคมอย่างแหลมคม พร้อมกับล้อเลียนลักษณะแบบสัจนิยมไปด้วยในตัว บางเรื่องใช้วิธีเล่าเรื่องซ้อนเรื่องเพื่อแสดงให้ผู้อ่านเห็นถึงทวิลักษณ์ทางความคิดอันขัดแย้งลักลั่น และบางเรื่องก็มีกลิ่นอายของเรื่องเหนือธรรมชาติเพื่อเชื่อมโยงเมืองกับชนบทและเครื่องจักรกับมนุษย์ แต่โดยรวมแล้ว ทุกเรื่องล้วนเป็นไปเพื่อ ‘สนทนา’ กับผู้อ่านในประเด็นที่จริงจังของสังคม
    แม้เรื่องสั้นแต่ละเรื่องจะไม่ได้ตั้งคำถามออกมาอย่างเด่นชัด ทว่าคำถามเหล่านั้นซ่อนตัวอยู่ใต้เรื่องเล่าต่างๆ และทำให้ผู้อ่านต้องฉุกคิดและฉงนฉงายต่อความเป็นไปในสังคมรอบตัวที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องสามัญธรรมดา แต่แท้แล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
24 เรื่องสั้นของฟ้า
ของ
ฟ้า พูลวรลักษณ์

    ‘ที่ว่าง’ และ ‘ระยะห่าง’ คือกลวิธีสำคัญในเรื่องสั้นของฟ้า พูลวรลักษณ์ งานของเขามีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้งในด้านวิธีคิด การใช้ตรรกะแบบนักปรัชญา และภาษาที่เรียบง่ายลงตัว แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในรวมเรื่องสั้นเล่มนี้คือการทิ้งระยะห่าง เล่นล้อกับพื้นที่ ความว่างเปล่า ความใกล้ไกลของเวลา ตั้งคำถามกับความจริง-ลวง และการดำรงอยู่ของมนุษย์
    กล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า งานรวมเรื่องสั้นของฟ้า ไม่มุ่งแสวงหาความเป็นไปในวิถีทางโลก ไม่มุ่งวิพากษ์สังคมร่วมสมัยอย่างที่เป็นอยู่ แม้ทุกเรื่องจะเป็นเรื่องสั้นที่เล่าถึงมนุษย์ แต่เรากลับรู้สึกคล้ายสัมผัสจับต้องผู้คนเหล่านั้นไม่ได้ในลักษณะอาการปกติ แต่ละเรื่องจึงฉายภาพความ ‘อปกติ’ ของมนุษย์ด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ สะท้อนถึงวิธีคิดและกระบวนการสร้างสรรค์ของผู้เขียน
    นอกจากนี้ กลวิธีการสร้างความรู้สึกว่างเปล่าเหินห่างในเล่ม ยังแสดงถึงความพยายามในการตอบคำถามเชิงอภิปรัชญาอันยิ่งใหญ่เวิ้งว้างและไร้คำตอบ โดยอิงอยู่กับปรัชญาหลายแขนง ทั้งปรัชญาจากโลกตะวันออก ปรัชญาจากโลกตะวันตก และกระทั่งปรัชญาทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ซึ่งแสดงถึงคลังความรู้ภายในตัวผู้เขียน เรื่องสั้นของเขาอาจมีรสไม่คุ้นชินสำหรับผู้ที่ชื่นชอบงานเขียนตามขนบของเรื่องสั้น แต่ให้รสแปลกใหม่และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
รวมเรื่องสั้น เรื่องของเรื่อง
ของ
พิเชษฐ์ศักดิ์ โพธิ์พยัคฆ์

     นำเสนอปัญหาของชุมชนมากกว่าการเพ่งเล็งที่ปัญหาของปัจเจกบุคคลแต่ถ่ายเดียว ผู้เขียนนำเสนอภาพชีวิตของมนุษย์ที่รวมกลุ่มกันอยู่ภายใต้โครงสร้างความสัมพันธ์ที่ถูกกำกับด้วยวัฒนธรรมท้องถิ่น ความเชื่อ ความทรงจำ และค่านิยมที่สืบต่อกันมาและไหลเวียนซึมซ่านอยู่ในชีวิตทางสังคมของเขาเหล่านั้น ทั้งนี้ ผู้เขียนได้แสดงให้เห็นว่าศรัทธาและความเชื่อเป็นพลังสำคัญที่ผลักดันความคิดและการแสดงออกของมนุษย์ โดยที่ศรัทธาและความเชื่อดังกล่าวยังเข้ามามีส่วนในกระบวนการก่อร่างอัตลักษณ์ทั้งในระดับสถาบัน ชุมชน และปัจเจกบุคคลที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์ของจิตสำนึกร่วมทั้งในตัวบทและในบริบท
     ความโดดเด่นของเนื้อหาในรวมเรื่องสั้นชุดนี้ยังอยู่ที่การนำเสนอวิถีชีวิตชนบทที่ดำรงอยู่ภายใต้แรงเหวี่ยงอันผันผวนปรวนแปรของสังคมสมัยใหม่กอปรกับการกดทับของความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างคนกลุ่มต่างๆ ในสังคม โดยชี้ให้เห็นว่าชีวิตที่ดิ้นรนและเป็นไปในชนบทมีสาเหตุจากความเชื่อและความปรารถนาของมนุษย์ที่ชวนให้มีความหวังหรืออดสูสังเวชไม่ต่างกับเรื่องเล่าเกี่ยวกับเมืองใหญ่ที่พบมากในวรรณกรรมไทยในทศวรรษหลังนี้
    ในแง่ศิลปะการประพันธ์ เรื่องของเรื่อง แสดงให้เห็นศักยภาพของเรื่องเล่าในการนำเสนอความรู้สึกนึกเห็นของตัวละคร การก่อรูปของเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งอันมีฐานมาจากเรื่องเล่าเรื่องอื่นๆ ทั้งยังนำเสนอภาพและความคิดอันกลมกลืนผ่านจังหวะของการนำเสนอที่เหมาะสม ชวนให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตามและใช้ความครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
นิมิตต์วิกาล
ของ
อนุสรณ์ ติปยานนท์

    โลกแห่งเหตุผลและตรรกะแบบวิทยาศาสตร์คือสิ่งที่ได้รับการประเมินว่าควรค่าและมีความหมายสูงสุดในการดำเนินชีวิตของมนุษย์   หากแต่เรื่องสั้นทั้งแปดเรื่องใน “นิมิตต์วิกาล”  ของอนุสรณ์ ติปยานนท์ ตั้งคำถามกับโลกใบนั้นและพาเราข้ามเส้นแบ่งพรมแดนหลากมิติ  ไม่ว่ามนุษย์ผู้นั้นจะเป็น ญี่ปุ่น เขมร จีน ไทย เวียดนาม ฝรั่งเศส หรืออื่นๆ ตามการแบ่งของรัฐชาติสมัยใหม่  ไม่ว่าเขาจะเป็นพุทธ คริสต์  ชายหรือหญิง  แต่วิกฤติของชีวิตเป็นสิ่งที่เกิดกับมนุษย์ทุกผู้นามโดยไม่เลือกสัญชาติ ศาสนา หรือเพศ
    แต่ละเรื่องเล่าในปกรณัมส่วนบุคคลขยายความไปถึงปัญหาของมวลมนุษยชาติ  รอยไหม้ในแผ่นหนังกวางจึงเป็นได้ทั้งประจักษ์พยานเรื่องมนุษย์เบียดเบียนสัตว์ หรือหมายถึงมนุษย์เข่นฆ่ากันเองในสงครามโลกครั้งที่สอง เฉกเช่นเดียวกับการตามหายาฉีดเพื่อรักษาเพื่อนนำไปพบสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเขมร  หรือความเศร้าหลังการตายของแม่เร่งเร้าให้ตัวละครออกเดินทางและได้สัมผัสพลังศรัทธาที่มีต่อพระเจ้าแม้ความตายจะคุกคามเบื้องหน้า  กล่าวได้ว่า การเดินทางจากเรื่องส่วนตัวไปสู่การรับรู้ปัญหาของมนุษย์ร่วมโลกในดินแดนอื่นเป็นอีกหนึ่งพรมแดนที่ผู้เขียนพาผู้อ่านก้าวข้ามไป
    ลีลาการเล่าที่เริ่มต้นด้วยปัญหาในโลกแห่งความจริงเชิงประจักษ์ซึ่งพรั่งพร้อมด้วยข้อมูลอันน่าเชื่อและปล่อยให้เรื่องราวไหลเคลื่อนไปสู่เรื่องเล่าที่เกินจริง ลึกลับ  เพื่อไขปริศนาหรือคลี่คลายปัญหาที่รุมเร้าตัวละคร  เป็นการท้าทายชุดเรื่องเล่าแนวสัจนิยมที่โดดเด่น  ความเหนือจริงที่ปรากฏในเรื่องสั้นทั้งแปดเรื่องมีเพื่อยืนยันว่า  เหตุผลไม่อาจเป็นเพียงเครื่องมือเดียวที่อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆที่มนุษย์ประสบ  ในหลายๆครั้ง  การฟังเสียงของความเชื่อ และศรัทธาในโลกแห่งจิตวิญญาณอาจนำเราไปสู่คำตอบอีกชุดหนึ่งซึ่งมีความหมายต่อชีวิตมากกว่า ศูนย์กลางของเรื่องเล่า ณ แดน บูรพทิศ ความสำคัญของอดีต ความทรงจำ และการดำรงอยู่ของตำนานในโลกสมัยใหม่เพิ่มกลิ่นอายของความเป็นเรื่องเล่าแนวหลังอาณานิคมที่ท้าทายชุดเรื่องเล่ากระแสหลักในปัจจุบัน

แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะจิบกาแฟ
ของ
จเด็จ กำจรเดช

     เป็นรวมเรื่องสั้น 12 เรื่อง ที่ทำให้เรามองสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยดวงตาที่เปลี่ยนไป เรื่องสั้นเหล่านี้แม้จะดูหนักหน่วงมีมิติที่ทับซ้อน มีมุมมองที่แปลกต่าง หากแต่มีความหมายอันน่าพินิจ
     นักเขียนเน้นการเล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิง อย่างซ่อนเงื่อนซ่อนปม กำกับบทบาทความคิดอย่างมีศิลปะในการเรียงร้อยและจัดวางจังหวะถ้อยคำและข้อความ เรื่องราวที่มีลีลาเชิงอุปลักษณ์ ประชดประชัน ยั่วล้อ การละเล่นกับความแปลกประหลาด ความชำรุดของสังคมและปรัชญาที่แฝงอยู่ ลงไปถึงรายละเอียดของอารมณ์มนุษย์ ภายหลังเผชิญความโศกเศร้าและหายนะ เผชิญชะตากรรมที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ภาพย่อยในเนื้อหาแต่ละเรื่อง เรียกอารมณ์ และวิธีการมองโลก กระตุ้นให้คิดตามและคิดต่อ
     กล่าวได้ว่า รวมเรื่องสั้นชุดนี้โดดเด่นด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องในแบบเฉพาะตน ฝีมือในเชิงการประพันธ์ มีสีสันในแง่ของการนำเสนอโลกทัศน์ ต่อชีวิต สังคมและโลกที่ลุ่มลึก พร้อมทั้งกลวิธีทางวรรณศิลป์ที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา เข้มข้นด้วยอารมณ์อย่างน่าสนใจ เป็นเรื่องสั้นชุดหนึ่งที่ท้าทายจิตสำนึกของคนในสังคมได้เป็นอย่างดี
กระดูกของความลวง
ของ เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์

     คือรวมเรื่องสั้น 12 เรื่องที่จำลองโลกของความลวงไว้ได้อย่างมีเอกภาพ สอดคล้องกับบางถ้อยคำในบางเรื่องที่ว่า “เป็นประวัติศาสตร์มหึมาที่ประกอบด้วยความลวง” โดยตีแผ่ความเปราะบางของมนุษย์ในสังคมรอบข้างไว้หลายแง่มุม ทั้งจิตใจด้านมืดที่เต็มไปด้วยการฉกฉวยทำลาย การเมินเฉยต่อความเลวร้ายเบื้องหน้า การบิดเบือนความเป็นจริง ความโง่เขลาต่อสรรพสิ่ง และการยึดมั่นกับการมองสิ่งต่างๆ จากภาพลักษณ์ภายนอกมากกว่าความดีงามภายใน เพื่อสะท้อนความแปรปรวนอันน่าสะทกสะเทือน และด้วยคำถามที่ว่า “โลกเราจะสงบสุขเพียงใดหากไม่ตัดสินชีวิตผู้อื่นด้วยอคติและอวิชชาทั้งหลายทั้งปวง”
     ผู้ประพันธ์เลือกกลวิธีนำเสนอ ด้วยชั้นเชิงทางวรรณศิลป์หลากหลายรูปแบบ โดยซ่อนสัญลักษณ์ให้ตีความได้อย่างแนบเนียน และด้วยภาษากวีอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว
รวมเรื่องสั้นชุด “บันไดกระจก”
ของ
วัฒน์ ยวงแก้ว

    รวมเรื่องสั้นชุด “บันไดกระจก” ของวัฒน์ ยวงแก้ว ประกอบด้วยเรื่องสั้นทั้งขนาดยาวและขนาดสั้นจำนวน 10 เรื่อง ทั้งหมดมีจุดเด่นที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
    ประการแรก ผู้เขียนสามารถสร้างสรรค์เรื่องได้หลากหลายแนว เช่น แนวสร้างสรรค์ แนวแฟนตาซี แนวครอบครัว แนวจิตวิทยา บางเรื่องก็ผสมผสานระหว่างแนวที่หลากหลาย ทำให้เกิดรสชาติในการอ่านที่ไม่จำเจ ประกอบกับความสามารถของผู้เขียนในการสร้างโครงเรื่องที่ซับซ้อน เรื่องสั้นจึงมีมิติตื้น-ลึก-หนา-บางที่เร้าอารมณ์ ความรู้สึก และความสนใจของผู้อ่านเป็นอย่างยิ่ง
    ประการต่อมา การสร้างเรื่องในลักษณะข้างต้น สอดรับกับเนื้อหาและแนวคิดของเรื่องที่มุ่งฉายภาพสังคมทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค ทั้งในสังคมชนบท สังคมกึ่งเมืองกึ่งชนบท สังคมเมือง และสังคมไทยโดยรวม ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนซ่อนเงื่อน รวมเรื่องสั้นชุดนี้ทำหน้าที่สะกิดเตือนผู้อ่านถึงปรากฏการณ์ในชีวิตของคนและสังคม ที่ไม่อาจตัดสินชี้ถูกชี้ผิดกันอย่างง่ายๆ อันถือเป็นหน้าที่และเสียงเรียกร้องของวรรณกรรมที่ดีที่พึงมีต่อสังคม
    ประการสุดท้าย รวมเรื่องสั้นชุดนี้ แสดงให้เห็นถึงขนบวิธีของการเขียนเรื่องสั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสั้นขนาดสั้นหรือขนาดยาว หากนักเขียนมีความตั้งใจและความสามารถมากพอ ก็อาจสร้างเรื่องให้มีความแตกต่างจากขนบทั่วไปได้ กล่าวคือ เรามักจะคุ้นเคยกันว่าเรื่องสั้นต้องเกิดจากโครงเรื่องเดียว แต่ “บันไดกระจก” ทำให้เห็นว่านักเขียนสามารถสร้างความซับซ้อนให้กับเรื่องเล่าของตนได้ด้วยกลการวางโครงเรื่องที่ซับซ้อน สอดรับ หรือคู่ขนานกันได้อย่างเป็นระบบ

รายละเอียด
ส่งผลงานวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้น
เข้าประกวดรางวัลซีไรต์ ประจำปี ๒๕๕๔

          คณะกรรมการดำเนินงานรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ขอแจ้งว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จะพิจารณาให้รางวัลวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้น โดยมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
          ๑.  เป็นผลงานเขียนภาษาไทย
          ๒.  เป็นผลงานริเริ่มของผู้เขียนเอง มิใช่งานแปลหรือแปลงจากของผู้อื่น
          ๓.  ผู้เขียนยังมีชีวิตอยู่ขณะส่งผลงานเข้าประกวด
          ๔. เป็นผลงานที่เผยแพร่เป็นเล่มครั้งแรกย้อนไปไม่เกิน ๓ ปี ภายในวันสิ้นกำหนดส่งงาน ทั้งนี้ต้องมีเลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ (ISBN) ด้วย
          ๕. เป็นรวมเรื่องสั้นจำนวนไม่ต่ำกว่า ๘ เรื่อง และจะต้องมีผลงานที่ไม่เคยรวมเล่มมาก่อนอย่างน้อย ๗๐%
          ๖. ผลงานวรรณกรรมที่เคยได้รับรางวัลอื่นใดมาแล้ว สามารถส่งเข้ารับการพิจารณาอีกได้
          
ผู้มีสิทธิ์ส่งวรรณกรรมเข้ารับการพิจารณา ได้แก่ องค์กรและสถาบัน สำนักพิมพ์   นักวิชาการ  นักเขียน นักวิจารณ์ และบุคคลทั่วไป โดยส่งหนังสือที่มีคุณสมบัติข้างต้นจำนวน ๑๕ เล่ม ไปยังคณะกรรมการดำเนินงานรางวัลซีไรต์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เลขที่ ๔๘ ถนนเจริญกรุง ๔๐ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ๑๐๕๐๐ ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ หากส่งทางไปรษณีย์ จะถือวันที่ประทับตราไปรษณีย์ต้นทางเป็นสำคัญ

ประกาศ ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔

คณะกรรมการดำเนินงานรางวัลซีไรต์ประจำปี ๒๕๕๔
ร่วมกับสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย
ในพระบรมราชูปถัมภ์และสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
ที่มา - จาก เว็บไซต์ สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย
              www.thaipoet.net

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จิระนันท์ พิตรปรีชากับรางวัลนักแปล "สุรินทราชา"

วันพฤหัสบดี ที่ 28 เมษายน 2554
Posted by nonglucky , ผู้อ่าน : 958 , 10:18:35 น.  
หมวด :

พิมพ์หน้านี้
โหวต 0 คน

รางวัลสุรินทราชา

รางวัลสุรินทราชา  เป็นรางวัลเกียรติคุณที่สมาคมนักแปลและล่ามแห่งประเทศไทยตั้งขึ้น  เพื่อมอบแก่นักแปลและล่ามผู้มีผลงานดีเด่นเผยแพร่เป็นเวลานาน  และสร้างคุณูปการแก่วงวรรณกรรม  สังคม  และประเทศชาติ
รางวัลสุรินทราชา  ตั้งขึ้นเป็นอนุสรณ์แด่ พระยาสุรินทราชา  (นกยูง  วิเศษกุล)  หรือ “แม่วัน”  ผู้แปลนวนิยายเรื่อง  Vendetta  ของ  Marie Corelli  เป็นภาษาไทย  ชื่อ  ความพยาบาท  เมื่อ พ.ศ.  ๒๔๔๔  และเนื่องจากท่านเป็นผู้มีความรู้ภาษารัสเซียและมีปฏิภาณไหวพริบดี  จึงได้รับเลือกให้เป็นล่ามประจำพระองค์ซาเรวิช  ผู้ในเวลาต่อมาดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลาสแห่งรัสเซีย
นักแปลและล่ามดีเด่น  “รางวัลสุรินทราชา”
คุณสมบัตินักแปลดีเด่น  “รางวัลสุรินทราชา”
๑.มีผลงานแปลดีเด่น
๒.มีผลงานต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน
๓.ผลงานสร้างคุณูปการแก่วงการแปล
๔.ยังมีชีวิตอยู่ขณะคณะกรรมการฯ  มีมติมอบรางวัล
คุณสมบัติล่ามดีเด่น  “รางวัลสุรินทราชา”
๑.มีผลงานการเป็นล่ามในวาระสำคัญๆ
๒.มีผลงานต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน
๓.ผลงานสร้างคุณูปการแก่วงการล่าม
๔.ยังมีชีวิตอยู่ขณะคณะกรรมการฯ  มีมติมอบรางวัล
นักแปลดีเด่น  “รางวัลสุรินทราชา”  พ.ศ.๒๕๕๔ 
๑.นางจิระนันท์ พิตรปรีชา
๒.นายทองแถม นาถจำนง  (โชติช่วง นาดอน)
๓.นายปราโมทย์ ในจิต  (จินตรัย)
๔.นางวิภาดา  กิตติโกวิท
๕.ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล
๖.นายสุวิทย์ ขาวปลอด
ล่ามดีเด่น  “รางวัลสุรินทราชา”  พ.ศ.๒๕๕๔
๑.ผู้ช่วยศาสตราจารย์  ชเนฏฐวัลลภ  (ณิโคลัส)  ขุมทอง
๒.นายสุนทร เสียงนอก
๓.Mr.Yunpeng Zhang (Willey Chang)
******************
ได้ไปร่วมงานวันนักแปลและล่าม  ครั้งที่  ๕  ซึ่งจัดโดย  สมาคมนักแปลและล่ามแห่งประเทศไทย  เมื่อวันเสาร์ที่  ๒๓  เมษายน  ๒๕๕๔  ในวันดังกล่าว  สมาคมฯ  ได้มอบรางวัลสุรินทราชา  ให้แก่นักแปลดีเด่นและล่ามดีเด่น ประจำปี พ.ศ.๒๕๕๔ 
หลังจากนักแปลและล่ามได้รับรางวัล  ทุกท่านที่ได้รางวัลได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์(ซึ่งผู้จัดเรียกเช่นนั้น) ทุกท่านได้กล่าวความรู้สึกและเล่าประสบการณ์การแปลที่น่ารับฟังและเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจการแปลและผู้สนใจทั่วไป 
ดิฉันเห็นว่า  สิ่งที่แต่ละท่านได้เล่าในวันนั้น  มีประโยชน์และคงเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจการแปล  ผู้รักการอ่าน  และอื่นๆ  จึงได้ถอดเทปเสียง  ที่ได้บันทึกเอาไว้  มาแบ่งปันให้ทุกท่านได้อ่านไปพร้อมๆ กัน โดยจะทยอยลงให้อ่านทีละท่านค่ะ/  นงค์ลักษณ์ เหล่าวอ
******************
ความในใจของ

จิระนันท์ พิตรปรีชา  :  หนึ่งในนักแปลดีเด่น  รางวัลสุรินทราชา ปี พ.ศ.๒๕๕๔
รางวัลนี้เป็นประจักษ์หลักฐานที่แสดงว่า  ในสังคมวรรณกรรมหรือสังคมภาษาและหนังสือของประเทศไทยก็ให้ความสำคัญ กับผู้ที่มีบทบาททำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อม ไม่เฉพาะในเรื่องของภาษาเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของวัฒนธรรม  และบางเรื่องก็ถึงขั้นความรู้สึกระหว่างชาติด้วย  อันนี้คือหน้าที่ที่มักจะไม่ค่อยมีใครเข้าใจหรือมองเห็นมากนัก  ตัวดิฉันเอง  เริ่มสนใจงานศิลปะการแปลโดยไม่รู้ตัว จำได้ว่าตอนเรียนชั้นประถมปลาย หรือ ม.ต้น  แล้วก็มีบทแบบเรียนภาษาไทยให้อ่าน  แล้วก็มีบทอาขยาน 
“วังเอ๋ยวังเวง  หง่างเหง่งย่ำค่ำระฆังขาน  ฝูงวัวควายผ่ายลาทิวากาล  ค่อยๆ ผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน  ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ  ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน  ...”  นี่จำได้เรียกว่า  ๘๐%  แล้วoriginalของงานชิ้นนี้  ไม่ทราบใครแปล ลืมไปหมดแล้ว แต่ทันทีที่รู้ว่ามาจากภาษาอังกฤษ  รู้สึกคนแปลเขาใส่ว่ารำพึงในป่าช้า  คือเป็นงานแปลที่เนียนมาก จนไม่เหลือกลิ่นไอของต่างประเทศอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว  ทำให้เกิดความรู้สึกทึ่งมาก จนต้องไปตามหาต้นฉบับมาอ่าน  พอดีที่บ้านเป็นร้านขายหนังสือ มีทุกอย่าง  แต่ว่าภาษาอังกฤษไม่ค่อยมี ต้องไปหาในห้องสมุดด้วยความอยากรู้เป็นยิ่งนัก  หลายปีต่อมาถึงจะเจอหนังสือเล่มนี้  เป็นวรรณกรรมเป็นpoetryของอังกฤษ  ชื่อคนเขียนลืมไปแล้ว แต่เป็นกวีที่มีชื่อเสียง  พออ่านภาษาอังกฤษถึงได้เข้าใจ  ว่าศิลปะการแปลเป็นเช่นนี้เอง 
อีกแหล่งหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจ  ก็คือหนังจีน  ที่บ้านที่ตรังจะมีโรงหนังอยู่ข้างหลัง เขาเรียกว่าวิก  สมัยก่อนนะคะ  และโรงหนังนั้นชื่อวิกคิง  วิกคิงนี้จะฉายแต่หนังจีนชอว์บราเดอร์  เพราะฉะนั้นจะมีพากษ์ภาษาไทย แต่ขณะเดียวกัน  บางทีเวลาเขาร้องเพลงงิ้ว  มันก็จะมีซับไตเติ้ลขึ้นมา  แล้วก็จะมีบทกวีจีน  แล้วก็มีหนังอินเดีย  หนังแขกซึ่งจำแม่นเลย คนแปลซับไตเติ้ลชื่อพรานบูร  รู้สึกจะเป็นสุภาพสตรี 
“โอ้ศกุนตลานิจจาเอ๋ย กระไรอาภัพอับวาสนา” อินตระเดียมากเลย  แต่สิ่งเหล่านี้ที่ได้ผ่านตา ได้เรียนรู้  มันซึมซับเข้ามาโดยไม่รู้ตัว  ว่าทำให้สนใจการสื่อภาษาข้ามวัฒนธรรม  แต่ว่าในชีวิตก็ไม่ได้ใฝ่ฝันว่าจะต้องมาเป็นนักแปลหรือมาอบรมกับสมาคมล่ามและนักแปล  เพราะว่าเดิมมาจากสาขาการเขียน  เขียนบทกวี เขียนสารคดีท่องเที่ยว  เขียนอะไรมากมาย แล้วจู่ๆ วันหนึ่งก็ส้มหล่น อาชีพในฝันลอยมาอยู่ตรงหน้า  ในฝันคือฝันเป็นหนังอยู่เรื่อยๆ  ก็มีคนบอกให้มาแปลเพลงในภาพยนตร์เรื่อง  Always  ไฟฝันควันรัก  ก็เลยได้อาศัยชั้นเชิงกวี  แปลเพลงนี้  Smoke Gets in Your Eyes 
“มีคนถามรักแท้แน่ใจหรือ  ตอบซื่อๆ หัวใจไม่ลวงฉัน...” คือแปลของเรามหัศจรรย์นิดหน่อยตรงที่ว่าแปลวรรคต่อวรรค และยังสัมผัสกันเป็นกลอน ก็ไม่รู้ทำเข้าไปได้ยังไง  ก็ติดลม หลังจากนั้นก็ยึดอาชีพนักแปลบทภาพยนตร์  แปลมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีคนยุให้แปลหนังสือดู  ก็คิดว่ามันง่าย อันนี้ต้องขอคุกเข่า โขกศีรษะคารวะพี่ๆ เพื่อนๆ  และน้องๆ นักแปลหนังสือทุกท่าน  โดยเฉพาะคุณสุวิทย์นะคะ ดิฉันลองมาแล้วค่ะ  แค่  ๓๐๐ หน้าก็แทบจะแย่อยู่แล้ว  อาจารย์ที่แปลเหยื่ออธรรม  War and Peace  ต้องขอคารวะจริงๆ  ในความเพียรพยายาม อดทน ใจเย็น วิริยะ  อุตสาหะ จิตตะ วิมังสา  ของท่าน เพราะว่าแปลบทภาพยนตร์ ฟังแล้วจะอิจฉา เรื่องนึงมีหนึ่งพันกว่าประโยค  แต่มันก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่งนะ  ไม่ใช่แปลอะไรก็ได้  ในฐานะที่เป็นสื่อบันเทิง  ก็มีเขาเรียก ‘แก๊ก’  บางทีก็ต้องจับอารมณ์ของภาพยนตร์เป็นหลัก  มากกว่าตัวหนังสือ แล้วก็จะต้องใส่ภาษาพูดลงไป ให้มากที่สุด เท่าที่ไม่น่าเกลียด  เพราะฉะนั้นการใช้สามัญสำนึกส่วนนี้จะเยอะกว่าการใช้ฐานความรู้  มันก็เลยเป็นสื่อบันเทิง อันนี้ก็พูดจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
แล้วทำไมถึงต้องมาติดหล่มอยู่ในวงการแปล  จนแทบจะไม่มีเวลาเขียนอะไรของตนเอง  ประการแรกก็คือ มันเหมือนพวกดาราเข้าค่ายแล้วจะต้องติดสัญญา  พอใกล้deadlineแล้วบอกอก็จะต้องโทรมา  ดุด่าว่ากล่าว  เพราะว่าเขาไปซื้อลิขสิทธิ์มา แล้วติดสัญญากับเมืองนอก  ถ้าไม่พิมพ์ภายในกี่ปีจะต้องโดนปรับ  เป็นปีนะสำหรับจิระนันท์ เป็นเดือนไม่รับแล้ว 
อีกอันหนึ่งก็คือว่างานแปล  มันเป็นงานใช้ทักษะเยอะ  นี่พูดกันอย่างเปิดใจนะ  ใช้ทักษะ  ในขณะที่งานเขียนoriginal  มันใช้จินตนาการเยอะ  ทั้งสองอย่างใช้ฝีมือทางภาษาเช่นเดียวกัน  แต่งานทักษะเราสามารถเก็บเป็นลิ้นชักได้ในสมอง  พอว่างก็ดึงลิ้นชักนี้ออกมาทำ  พอไม่ว่างก็ไปทำอย่างอื่น  สักประเดี๋ยวว่างหนึ่งชั่วโมงก็ยังแปลได้สักห้าหน้าอะไรอย่างนี้ แต่งานเขียนoriginalมันไม่ออก ก็เลยกลายเป็นนักแปลเรื่อยมา  ตลอดมา แต่ไม่ใช่หมายความว่า จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับสิ่งที่ตัวเองทำนะคะ  เพราะยิ่งทำไปยิ่งพบว่า  มันมีประโยชน์มากสำหรับผู้อ่านในสังคมไทย  แล้วก็ยินดีที่เห็นน้องๆ และหลานๆ  มาเข้าหลักสูตรอบรมหลักสูตรล่ามและนักแปล  วันนี้ขึ้นมารับใบประกาศนักแปลอาชีพ  เพราะว่าเราต้องการพวกท่านอีกเยอะเลย  แต่ไม่ใช่หมายความว่าเฉพาะสื่อบันเทิงนะคะ  ชอบมีคนถามว่าทำไมถึงแปลบทหนังได้ ตอบมีอยู่ห้าคนพอแล้วครับตลาดนี้  เพราะแต่ละบริษัทหนังจะมีหนังเข้ามาน้อยมาก  แต่ว่าสังคมต้องการนักแปลในมิติอื่นอีกเยอะแยะมากมาย  แล้วก็ถ้าเราทำงานแปลด้วยหัวใจสนุก  ถอดหัวใจใส่ลงไป เราจะได้ไม่ต้องเกี่ยงเรื่องค่าแรง ผลตอบแทน  เวลาที่ใช้เลย 
วันก่อนไปจีนตะลึงว่าละครไทยกำลังฮิตติดชาร์จเหมือนเกาหลีมาเมืองไทย  ละครทีวีไทยเขาจะรู้จักพระเอกนางเอกนี่ที่ปักกิ่งนะคะ เชื่อไหมว่า พอละครออกอากาศไป  เขาดูทางดาวเทียม พอวันสองวันให้หลังจะมีคนแปลซับไตเติ้ลเป็นภาษาจีน  โหลดเข้าไปในยูทูบทันที  อันนี้ผลประโยชน์ของชาติเลยนะคะ เพราะว่ายิ่งโหลดเข้าไป มันก็ยิ่งแพร่หลาย กระจายไปทั่ว ดูแล้วดูอีกก็ได้ ไปคลิกดูจำนวนผู้ชม  เยอะขึ้นเรื่อยๆ เป็นการเผยแพร่  จะว่าศิลปะการแสดง อุตสาหกรรมภาพยนตร์  ทีวีไทยก็ได้ โดยไม่ต้องใช้เศรษฐกิจสร้างสรรค์เลย ใช้ล่ามนี่แหละ
อันนี้ก็คืออยากจะชี้ให้เห็น  ว่าบทบาทของนักแปลนี้บางทีเราก็ทำไปด้วยใจรัก ทำไปเพลินๆ นะ  แต่ผลมันกระจายกว้าง แล้วก็ไม่ได้คิดว่าต้องปิดทองหลังพระหลังปกอะไรทั้งสิ้น  บางทีมันสนุกจริงๆนะ ท้าทายมาก  อย่างมีอยู่เล่มหนึ่งที่เคยแปล  มันจะเป็นศัพท์ทหาร  พระเอกเป็นทหารไปรบ  โอ้โหต้องตามผู้ช่วยมาแทบแย่  ขอปรึกษาศัพท์มาเฟีย  ก็คิดว่าตัวเองผ่านงานแปลมาประมาณสิบกว่าปี  ก็เติบโตขึ้นในแง่ความคิด  คลังสมอง  คลังภาษา  ล่าสุดเล่มนี้เพิ่งพิมพ์ออกมา  The Power  ในนั้นเนี่ย  มีประโยคที่ประทับใจ  โดนใจสุดๆ  อยู่อันหนึ่ง  คนแปลก็จำภาษาอังกฤษไม่ได้  เขาบอกว่า 
“ความสำเร็จ ไม่ใช่กุญแจไขประตูสู่ความสุข  แต่ความสุขต่างหากที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ”  งานแปลก็เช่นเดียวกันค่ะ 
ขอบคุณค่ะ

ที่มา -จากบล็อกโอเคเนชั่น

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กวีนิพนธ์วิพากษ์

ให้นักเรียนอ่านบทกวีนิพนธ์ของกวีซีไรต์แล้ววิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นดังนี้
๑. เนื้อหากล่าวถึงเรื่องอะไร
๒. นักเรียนมีความคิดเห็นอย่างไร เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร 
พิมพ์ส่งในบล็อกซีไรต์และอีเมล ploykarat@gmail.com

ตอนที่ ๑  @กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง  เป็นมนุษย์@
       


       @ ก่อนจะเป็นอะไรในโลกนี้
       ทั้งเลวทรามต่ำดีถึงที่สุด
       ก่อนจะสวมหัวโขนละครชุด
       คุณต้องเป็นมนุษย์ก่อนอื่นใด

       
       @ คุณจะต้องรู้จักการเป็นมนุษย์
       ไม่ใช่ชุดเครื่องแบบที่สวมใส่
       ไม่ใช่ยศตำแหน่งแกร่งฉไกร
       หากแต่เป็นหัวใจของคุณเอง

       

       @ ใจที่มีมโนธรรมสำนึก
       ใจที่รับรู้สึกตรึกตรงเผง
       ใจที่ไม่ประมาทไม่ขลาดเกรง
       ใจที่ไม่วังเวงการเป็นคน

       
       @ เมื่อนั้นคุณจะเป็นอะไรก็ได้
       เป็นผู้น้อยผู้ใหญ่ได้ทุกหน
       มโนธรรมสำนึกรู้สึกตน
       ต้องตั้งตนให้เป็น คือ เป็นมนุษย์!
       
       


       เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
       พฤ ๑๓/๑๑/๕๑  


ตอนที่ ๒ จากบทกวี"โลกในดวงตาของข้าพเจ้า"  โดย  มนตรี ศรียงค์


     โลกทั้งโลกถูกย่อเท่ามอนิเตอร์
 
      เรากะเทอร์เจอกันในวันหนึ่ง
 
      ชีวิตในอินเตอร์เนตนี้ก็จึง
 
      หวานน้ำผึ้งสุขสมสีชมพู
 
                โย่วโย่วเทอร์อยู่ที่หนายอ่า?
 
                ทำงานแร้วรึว่ายังเรียนอยู่?
 
                รูปเทอร์สวยอ่าเหมือนหมาจู
 
                งุงิงุงิน่าเอ็นดูน่าดูแคม
 
     โชว์วิวเปิดแคมแพลมแพลมสิ
 
      อะคริอะคริมะก้าแหงม
 
      เสื้อสีสวยแสบมันแว้บแวม
 
      ชั้นในแพลมลับล่อยี่ห้อไร?
 
                เนินนมขาวจังคงทั้งเต้า
 
                กำเดาเลือดลิ่มจะปริ่มไหล
 
                แคมเทอร์สวยออกทั้งนอกใน
 
                แคมใหญ่เต็มปลั่งกะลังดี
 
     หน้าบ้านเรารถถังกะลังวิ่ง
 
     ปฏิวัติกันจิงจิงหรือนี่?
 
     บ้านเทอร์มีปะ – รึมะมี?
 
     อี๋อี๋บ้านน้อกบ้านนอกจัง
 
                 55555555
 
                เรารักเทอร์น้าเด็กโง่งั่ง
 
                เด๋วส่ง Mp3  ปะห้ายฟัง
 
                แร้ววันหลังส่งคลิปปะห้ายดู
 
      คลิปเราเองแหละเอิ๊กเอิ๊กเอิ๊ก
 
      ถ่ายก่อนเลิกกะแฟนโรงแรมหรู
 
      ADSL  เราใช้ TRUE
 
      อัพโหลดคู่สองคลิปได้ฉะบาย
 
                เรารักเทอร์น้าเด็กโง่
 
                (คลิกอีโมฯรูปหัวเราะงอหงาย)
 
                หนึ่งปริ๊ดแระอิอิขอบจาย
 
                จุ๊บจุ๊บบะบายชัทดาวน์แร้วววววววววว...
 
                ..........................................
 
                ปล.รถถังมาทามมาย?
 
                เด๋วไปถ่ายรูปก่อง – บลาบลาบลา.