รายการ สถานีสุวรรณภูมิ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน




คือบัณฑิตเพลิงชมพูครุศาสตร์
มหาบัณฑิตสมมาดสาวอักษร
จามจุรีศรีจุฬาถิ่นนาคร
ที่เสกพรให้เป็น"ครู"รู้ค่างาน

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มุมมองของคุณศักดิ์สิริ มีสมสืบต่อการเรียนการสอนวิชาพินิจวรรณกรรมซีไรต์

๑.คุณศักดิ์สิริ มีสมสืบ กวีซีไรต์ปี ๒๕๓๕ จากกวีนิพนธ์มือนั้นสีขาว แสดงทัศนะว่า

" เป็นการเรียนรู้ที่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เกิดจากการเรียนรู้สอนตัวเรา การที่ไปพบใครสักคนหนึ่ง เป็นการสร้างนิสัยแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ในโลกนี้ครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่ภายในตัวเราผู้เรียนไม่ยึดติดครูคนใดคนหนึ่งเพราะครูก็เป็นคนทั่วไป มีผิด-ถูก ถ้ายึดติดกับคนใดคนหนึ่งจะคับแคบ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังสอนไม่ให้ยึดติดกับครู นี่ปรากฏในกาลามสูตรนะ...การเรียนการสอนแบบนี้ครูเองไม่ได้ทอดทิ้งเด็ก เพราะเป็นทั้งพี่เลี้ยง เป็นทั้งผู้ชี้ทางให้เด็ก เด็กสร้างคำถามได้ ได้เดินทางภายใน เพราะสังคมส่วนใหญ่จะชี้นำมากกว่าคิดได้เอง ที่สำคัญนักเรียนมีมุมมองในชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิม"
จาก Saksiri
จาก Saksiri
จาก Saksiri
จาก Saksiri
จาก Saksiri
จาก Saksiri
จาก Saksiri

21 ความคิดเห็น:

  1. กวีนิพนธ์ มือนั้นสีขาว ตอน "หลับ"
    ขึ้นรถโดยสาร
    มันคลานโคลงเคลง
    คำรามครำเตร่ง
    ครวญครางครืนครืน
    เหงื่อไหลครำเครียด
    โหย่งเหยียดตีนยืน
    หลับหลับตื่นตื่น
    ผงกฟื้นสลับซบ
    ท้องแก่แย่เปรียบ
    ท้องเรียบนั่งจอง
    คนแก่เหลือบมอง
    คนหนุ่มแกล้งเมิน
    เสียงตะโกนเดินหน้า
    เสียงด่าเดินหลัง
    คนนั่งแกล้งฟุบ
    คนยืนโยนย้าย...
    คนจะลงป้ายหน้า
    รถบ้าไม่ยอมจอด
    อ้ายจ๊อดคุยจ้อ
    อ้ายจ๋อคุยฟุ้ง
    อ้ายจุ๋งคุยทับ
    อ้ายจ๊อดอ้ายจุ๋ง
    ถองพุงอ้ายจ๋อ
    ฝนก็อึมครึม
    ฟ้าครึ้มครืนครืน
    อากาศอึนอึน
    คนจะขึ้นป้ายหน้า
    เหลืองเหลืองปลิวมา
    พระนี่หว่า...เฮ้ยหลับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ช่วยแปลความ ตีความ และขยายคาม

      ลบ
    2. เสียงตะโกนเดินหน้า

      ลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ11 มกราคม 2554 เวลา 21:57

    นางสาว ศิรินภา วรรณโสภาชั้น ม. 4/6 เลขที่ 46

    ปัจจุบันนี้ ไม่ค่อยมีใครที่จะยอมลุกจากที่นั่ง
    ให้คนแก่หรือคนท้องหรือผูหญิงนั่งสักเท่าไหร่ ๆ
    เพราะทุกคนก็กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้นั่งทั้งนั้น
    รถเมย์แต่ละคนก็แล่นไปอย่างเร็วไม่รอใคร
    เมื่อทุกคนไม่ค่อยมีน้ำใจ ก๊มีแต่เสียงด่าร้อง
    เห็นคนท้องยืนก็เหมือนไม่เห็น
    เห็นคนแก่ร้องก็หันหน้าเมินหนี้เหมือนไม่ได้ยิน
    อยากลงป้ายไหนรถก๊ไม่จอดให้ลง
    ฝนฟ้าก็เหมือนจะตก เมื่อยืนไปก็เห็นคน
    เห็นผ้าสีเหลืองลอยมา พอรถจอดใกล้ๆ
    ก๊นั้นคือพระนี่เอง คนสมัยนี้ไม่ค่อยที่จะมีน้ำใจกันสักเท่าไหร่
    เห็นคนแก คนท้องก็เหมือนไม่เห็นไปซะงั้น

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ11 มกราคม 2554 เวลา 22:01

    น.ส.อนงค์นาฏ หวังจันทร์
    ชั้น ม.4/6 เลขที่ 39

    ในตอนปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่มากมายนั่งรถ
    โดยสารที่ไรเบื่อทุกที่ เพราะว่าบ้างคนเป็นหนุ่มสาว
    เวลาเห็นเด็ก ๆ หรือ ผู้หญิง และคนชรา ก็ทำเป็นไม่เห็นไม่ลุก
    ให้คนชรานั่งเลยและบ้างคนเวลายืนอยู่ก็หลบทางให้ขอ
    ทางแล้วขออีกก็ทำเป็นไม่สนใจบ้างคนยืมหรือนั่งก็ยังหลับได้
    ซึ่งเสียงของกระเป๋ารถเมย์ดังมากไม่รู้ว่าเขาหลับไปได้ยังไง
    งง และคนขับรถอีกกดกริ่งตั่งแต่ไม่ถึงป้ายแต่เขาก็ไม่จอดจนเลย
    ป้ายจนได้ ยิ่งเวลาหนูรีบมาโรงเรียนกลัวสาย แต่สุดท้าย เขาก็ไปจอด
    ไกลยิ่งกว่าที่เคยลงอยู่ทุกวันอีก
    ก็เลยต้องเข้าแถวสายทุกครั้ง

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ11 มกราคม 2554 เวลา 22:14

    น.ส.วิจิตตรา ฟักทับทิม ม.4/5
    จากกินิพนธ์ที่ว่ามือนั้นสีขาว ตอนหลับ
    สภาพที่เห็นนั้นส่วนใหญ่คนบนรถเมล์ส่วนมากจะไม่ค่อยมีน้ำใจเห็นคนแก่ก็นั่งนิ่งนั่งเฉยไม่มีความมีน้ำใจบางคนก็แกล้งหลับบ้างแกล้งทำเป็นไม่สนใจบ้างคนแก่ที่เขาแกคราวปู่เราแล้วเขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงกับนั่งเฉยไม่ใช่เฉพาะแต่กับคนแก่เท่านั้นแม้แต่เด็กหรือคนถือของเยอะๆก็ไม่มีน้ำใจที่จะช่วยเขาเลยคนไทยสมัยนี้ไม่ค่อยมีน้ำใจเห็นแก่ตัวคนแก่ก็เหลือบมองว่าจะมีบ้างไหมคนที่มีน้ำใจแต่ก็นั่งเฉยนิ่งอีกอย่างบางคนกลับจากที่ทำงานเหนื่อยล้าก็หลับกันบนรถเมล์เพราะเหนื่อยพนักงานเก็บเงินบนรถก็ตะโกนเรียกเก็บค่าโดยสารบ้างรถเมล์ก็จอดไม่ตรงป้ายบ้างไม่จอดบ้างจอดไม่สนิทบ้างผู้โดยสารก็พากันว่าบ้างด่าบ้างรถเมล์จะจัดที่นั่งสำรองไว้ให้สำหรับที่นั่งของพระสงฆ์...คนท้อง...คนพิการ..หลายๆครั้งหริอเกือบทุกครั้งเลยที่เห็นคนไทยไม่มีน้ำใจ

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ11 มกราคม 2554 เวลา 22:23

    เวลาเราขึ้นรถโดยสารบางคนก็นั่งหลับ บางคนก็ยืน คนพูดกันบนรถเสียงดังและเสียงรถข้างนอกก็ดังบางที่ฉันคิดว่าคนที่นั่งหลับ หลับไปได้อย่างไร บางคนก็จะลงรถแต่รถไม่ค่อยชอบจอดตรงป้าย อากาศก็ร้อนเลยทำให้ผู้โดยสารหงุดหงิดและอารมณ์เสีย
    แต่ถ้าเป็นรถที่ปรับอากาศถึงจะราคาแพงกว่ารถที่ไม่มีแอร์
    คนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะขึ้นเพื่อความสะดวกสบายของตัวเอง
    บางที่ท้องฟ้ามืดขึ้นมาจะไปไหนก็ลำบากขึ้นรถก็ไม่ค่อยอยากจะขึ้น
    เคยเจอคนที่แกล้งทำหลับ ฉันคิดว่าจะแกล้งทำหลับทำไมเมื่อค่ารถโดยสาร
    แค่8บาทเองแต่บางคนที่ทำหลับเพราะไม่อยากให้เด็กนั่งหรือคนแก่ที่พึ่งขึ้นมา
    รถบางคันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงยังจอดรับคนอีกทั้งๆที่คนบนรถก็เต็มมากก็ยังจะจอดรับผู้โดยสาร แต่คนเราก็แปลกก็ยังจะขึ้นทั้งๆที่รู้ว่าคนบนรถเต็มก็ยังจะขึ้น

    น.ส.นิภารัตน์ ศรีพิโรจน์ ชั้น ม.4/6

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ11 มกราคม 2554 เวลา 22:27

    น.ส.ชลิตา สุทธาวสินธุ์ ม4/5

    จากเรื่องมือนั้นสีขาว ตอนหลับ ฉันคิดว่าเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการขึ้นรถโดยสารว่าสมัยนี้การนั่งรถโดยสารเป็นอย่างไร แต่ส่วนมากจะใช้รถโดยสารมากกว่ารถส่วนตัวซึ่งการขึ้นรถโดยสารนั้นก็เต็มไปด้วยคนจำนวนมากและหนาแน่นมาคอยขึ้นรถโดยสารกัน แต่คนสมัยนี้มักจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีน้ำใจกับคนที่ขึ้นรถโดยสาร อย่างเช่น คนชรา เด็ก หรือคนท้อง ซึ่งบางคนเห็นแล้วก็ไม่ยอมลุกขึ้นให้นั่ง ทำเป็นแกล้งเมินหรือเหลือบมอง บางคนเห็นแล้วแต่ก็ทำเป็นแกล้งหลับหรือแกล้งฟุบลงไปซึ่งทำให้สะท้อนเห็นถึงสังคมปัจจุบัน และบางทีคนขับรถเมล์ก็ขับมาด้วยความเร็วซึ่งคนที่จะลงป้ายถัดไปก็ไม่ได้ลงเพราะคนขับไม่จอดให้ลง ขับผ่านป้ายซึ่งจะทำให้ประชาชนไม่พึงพอใจและกระเป๋ารถเมล์บางคนบอกให้เราชิดในบางคนก็ไม่ขยับชิดในซึ่งคนเราไม่นึกถึงชีวิตของตนเองว่าจะเป็นอย่างไรและขณะที่ฉันอยู่บนรถก็มีคนมาเบียดฉันเบียดคนอื่นบ้างและก็บอกให้ขยับไปหน่อยซึ่งคนมันแน่นจนขยับไม่ได้ คนๆนั้นยังจะให้ขยับเข้าไปอีก ซึ่งเขาไม่เห็นเหรอว่ามันแน่นจนขยับไม่ได้แล้ว ซึ่งเขาไม่ได้คิดหรือนึกเลยและฉันก็เคยเห็นคนที่กำลังขึ้นรถเมล์ ยังไม่ทันจะขึ้นเลยรถก็ไปก่อนซึ่งคนๆนั้นก็เกือบตกรถซึ่งฉันไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ซึ่งฉันตกใจมาก

    ตอบลบ
  7. จากบทกวี เรื่อง 'หลับ' แสดงให้เห็นว่า การขึ้นรถโดยสารต้องเจอกับอะไรบาง ไม่ว่าจะเป็น สภาพแวดล้อม ทางอากาศที่ ทำไห้เหงื่อไหลใคลย้อย ด้วยความร้อน
    พฤติกรรมของผู้คนต่างๆ ทั้งเดินไปมาบนถนน ที่ส่งเสียงเอะอะโวยวาย อีกทั้งคนที่อยู่บนรถ ที่ไม่ค่อยมีน้ำใจ ต่อกัน รถก็ขี่เฉียดตายไปซะทุกที่
    บรรยากาศแบบนี้ เจอวันทุกๆ วันเลยที่ต้องนั่งโดยสาร.......
    อย่าว่านิสัยของคนเรามันต่างกัน อย่าคิดในแง่บวกมากนัก เห็นคนที่เขาไม่ลุกไห้ผู้หญิง เด็ก คนแก่ และคนชรา อย่าไปว่าเขาไม่มีน้ำใจเสียหมด เขาก็อาจจะเหนื่อยเหมือนกัน เห็นคนหลับอย่าไปว่าเขาแกล้งหลับ วะหมด ทุกคนก็ต้องทำงาน ต้องมีความล้า มีความเหน็ดเหนื่อยเหมือนกันทุกคน
    บางครั้งสิ่งที่ดูแลตัวเองได้ ก็ดูแลไป อย่าไปหวังอะไรกับคนอื่นมากนัก มักไม่สมหวังทุกคนหรอก

    ตอบลบ
  8. PORPLA = นฤมล อำมะล ม.4/4 วิชาพินิจวรรณกรรมซีไรต์

    ตอบลบ
  9. ไม่ระบุชื่อ11 มกราคม 2554 เวลา 22:34

    น.ส.วรานุช แสนเมืองมา ม.4/4 เลขที่32

    กวีนิพนธ์ มือนั้นสีขาวตอนหลับ จะพูดถึงเรื่องขึ้นรถโดยสารที่มีคนแน่นมากบางครั้งเหงื่อไหลเป็นทางเลย คนตัวสูงก็ยืน ส่วนคนที่กำลังหลับก็หลับหลับตื่นตื่น นั่งซบผงกสลบสลับกันซบ คนที่ท้องแก่ก็เสียเปรียบคนที่ท้องเรียบเรียบก็ไม่ยอมลุกขึ้นยืนคนแก่ก็เหลือบไปมองคนหนุ่มคนสาวก็แกล้งเมินทำเป็นไม่สนใจทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสียงตะโกนก็ดังลั่นสนั่นทั้งรถพร้อมทั้งเสียงตะโกนด่ากัน พูดคุยกันเสียงดัง เดี๋ยวคนนั้น คนนี้ คนนู้น พูดคุยกันเสียงดัง ไอ้ส่วนคนที่นั้งทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีก็แกล้งทำเป็นฟุบนอนสลบ ไอ้คนที่ยืนก็โยกซ้ายโยกขวาเหยียบเท้ากันก็มี แต่ก็สงสารคนที่จะลงรถโดยสารป้ายหน้านี่ซิ
    จะลงรถโดยสาร รถก็ไม่ยอมจอดให้ลง ฟ้ามึดฝนครึ้ม อากาศก็อบอวน มาดูป้ายหน้า เห็นพระหรือเด็กและสตรีเดินขึ้นรถมา ตายละหว่าทุกคน สลบ
    เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก แม้กระทั้งหนู ดูพวกสุภาพบุรุษเห็นเด็กเดินมาก็ไม่ยอมลุกขึ้นยืน เสียสละแต่กลับนั่งริมหน้าตาง แต่ทำไงใด้ ก็นี่มันสิทธิของเขา ใช่มัยคะ

    ตอบลบ
  10. ไม่ระบุชื่อ11 มกราคม 2554 เวลา 22:37

    น.ส.นัทติยา บุญเพ็ง ม.4/6
    กวีนิพนธ์ มือนั้นสีขาว "หลับ" หนูคิดว่ามันคือการเปรียบระหว่างสังคมในปัจจุบันเเละในสมัยก่อน ในเรื่องนี้เป็นการดูมารยาทในการนั่งรถโดยสาร เพราะการนั่งของเเต่ละคนมีนิสัยที่เเตกต่างกันมาก เเต่บางคนเห็นคนชรา หรือคนตั้งท้องเเละเด็กขึ้นรถพอขึ้นมา บางคนก็ทำเป็นเฉยๆ บางคนทำเป้นไม่สนใจ บางคนทำเป็นนอนหลบบาง เปรียบกับคนสมัยก่อนเป็นคนที่มีน้ำใจที่ดี มีอะไรก็เเบ่งปันกันเเต่คนสมัยนี้ไม่มีคำว่า"น้ำใจ" เเบบว่าการโหนรถโดยสารก็ไม่มีใครที่จะมีให้เรานั่ง เพราะว่าเวลาจะขึ้นเขาก็มาเบียดกันขึ้น ทำให้เราขึ้นไม่ พอเราขึ้นไปรถเขาก็เเย่งกันนั่ง เราคิดจะขึ้นรถเมย์หรือรถประจำทาง เราควรดูว่ารถคันไหนขึ้นได้หรือไม่ได้ เพราะมันคือมีอุบัติเหตุตามถนนต่างๆ เช่นมีผู้หญิงคนหนึ่งจะวิ่งขึ้นรถเมย์ เเต่รถเมย์ได้เคลื่อนที่ไปมากเเต่วิ่งไปโหนรถเมย์เขาวิ่งพลาดไปเขาจึงล้มลงเเละล้อรถเมย์ก็เหยียบขาของเขา เขาจึงร้องอย่างเสียงดัง ทำให้เขาบาลเจ็บมาก เราไม่ควรประมาณมากเกินไป เเละควรมีนำใจกันบางนะค่ะ

    ตอบลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ11 มกราคม 2554 เวลา 22:50

    น.ส. ศศิธร ดอกพอง ม.4/5

    จากเรื่อง มือนั้นสีขาว ตอน หลับ ฉันคิดว่า...

    สังคมสมัยนี้...เวลาขึ้นรถโดยสารประจำทางเชื่อว่าทุกๆ คนอาจประสบปัญหาที่กล่าวในกวีบทนี้เช่นกันผู้คนที่นั่งในรถส่วนใหญ่ต่างพากันที่จะละเลยคนรอบข้าง ไม่มีความเสียสละ ที่จะลุกให้ คนแก่ ถึงแม้แต่คนท้องนั่งแม้แต่น้อยจนบางครั้งฉันเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่า ทำไมคนสมัยนี้ไม่มีน้ำใจเอาซะเลย พอหันไปมองก็ทำเป็นหลับ บางทีก็นิ่งเฉยหลบสายตา ไม่รู้จักละอายเลย กระเป๋ารถเมล์ก็เร่งให้ผู้โดยสารชิดในอย่างบ่อยครั้งทำให้ชนกันบ้าง เหยียบเท้ากันบางเป็นตามธรรมดาที่พบเจอ คนในรถก็พากันอบอวลกับบรรยากาศภายในรถทั้งอัดแน่น พากันเหงื่อไหลกันถ้วนหน้า จนทำให้หงุดหงิดได้เลยทีเดียว ถึงคนขับก็จ้อไปเรื่อยๆ ตามภาษาพอเจอคนรู้จักก็ตะโกนคุยข้างรถกันบ้าง พอผู้โดยสารต้องการลงก็ไม่ใส่ใจที่จะจอดตรงป้าย ทำให้เหนื่อยกลับการเดินกลับไปยังป้ายที่เลยได้ทีเดียว คนจะขึ้นก็เบียดเสียดกันขึ้น บางคนก็ตกรถบ้าง ถ้าดวงไม่ดีอาจเจอเหตุการณ์ที่มี พวกมิฉาชีพทำการลวงกระเป๋า เพราะฉะนั้นควรดูแลของมีค่าให้อยู่ในความดูแลของเราให้ดี ไม่งั้นจะหายไปโดยไม่รู้ตัว และอาจจะเจอพวกโรคจิตมาทำมิดีมิร้ายเราได้

    ตอบลบ
  12. ไม่ระบุชื่อ12 มกราคม 2554 เวลา 01:24

    นางสาวพนิดา เกตุพจน์ ชั้นม.4/5

    ความคิดเห็นต่อ กวีนิพนธ์ มือนั้นสีขาว ตอน "หลับ"
    นั่งอ่านแล้วเห็นภาพเลยล่ะค่ะ เพราะในสังคมไทยสมัยนี่ หายากแล้วสำหรับคำว่าน้ำใจ
    ยิ่งบนรถเมล์เวลาคนเยอะๆด้วยแล้ว อย่าหวังว่าจะเจออยู่บนนี้เลย จากสิ่งที่คุณ ศักดิ์สิริ
    ได้ถ่ายทอดให้อ่านในตอน "หลับ" นั่งอ่านจบก็เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัวเลยล่ะค่ะ เพราะคุณศักดิ์สิริ ได้ตีแผ่ความจริงให้เห็นได้โดยจริง ดิฉันเองก็เป็นอีกคนที่เคยพบเห็นกับเรื่องราวบนรถเมล์มาบ้าง ตามธรรมเนียมทั่วไป ผู้ชายต้องลุกให้ผู้หญิงนั่ง หรือทั้งผู้หญิงผู้ชาย ต้องลุกให้คนท้อง พิการ พระสงฆ์... หลายครั้งที่ดิฉันเคยขึ้นรถเมล์เวลาช่วงเย็น ซึ่งคนก็จะเยอะและแน่นเป็นธรรมดา เนื่องจากดิฉันรูปร่างสูงใหญ่ ทำให้ใครหลายคนคิดว่าเป็นวัยที่ไม่ต้องลุกให้นั่งแล้ว ทั้งๆที่ช่วงนั้นดิฉันเรียนอยู่แค่ม.ต้น
    แต่ทว่า... ถึงไม่ได้นั่งก็ไม่ได้เสียใจอะไร คิดว่าอีกไม่นานก็คงถึงที่หมาย ดิฉันก็ยืนไปเรื่อยๆ และสังเกตไปรอบๆตัวรถ หลายต่อหลายคนที่นั่งอยู่ทำตัวเหมือนกันหมดคือ นั่งก้มหน้า ไม่สบตาใคร ถึงจะมีใครยืนอยู่ตรงหน้าก็จะเมินเฉยไป ไม่ว่าผู้ชายผู้หญิงก็เหมือนๆกันหมด มีเหตุการณ์หนึ่ง เกิดขึ้นบนรถไฟฟ้าใต้ดิน ในวันที่ดิฉันไปงานหนังสือ วันนั้นมีคนเต็มรถไฟฟ้าเป็นปกติ เพราะใครหลายต่อหลายคนก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือไปงานหนังสือ มีคุณยายชราขึ้นมา ท่านดูแข็งแรงดี ถึงแม้ว่าผมจะหงอก ดิฉันไม่รู้ว่าท่านไปไหน ดิฉันยืนอยู่ข้างๆคุณยายเพราะตัวดิฉันเองก็ไม่ได้นั่งเหมือนกัน คุณยายคนนั้นเดินไปด้านที่มีที่นั่ง ท่านไม่ได้จะไปนั่ง แต่จะไปจับเสาเพื่อพยุงตัวเองไว้ ตรงหน้าคุณยายมีผู้ชายวัยกลางคน คนหนึ่งนั่งอยู่ ข้างๆผู้ชายคนนั้นเป็นผู้หญิงวัยพอๆกัน ผู้ชายคนนั้นนั่งนิ่ง ก้มมองพื้น ไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะเป็นใคร แต่ผู้หญิงข้างๆเห็นคุณยายปุ๊บ ก็ลุกรอให้คุณยายนั่งตั้งแต่ไกล ดิฉันมองแล้วก็... รู้สึกแย่ค่ะ
    มันไม่เกี่ยวหรอกว่าจะเป็นเพศอะไร แต่สำหรับความมีน้ำใจ มันก็ควรจะมีอยู่ที่เพศทุกวัยไม่ใช่เหรอ? ดิฉันยืนครุ่นคิดอยู่คนเดียวเงียบๆ และคอยมองผู้ชายคนนั้นอยู่ว่า ผู้หญิงข้างๆที่ลุกให้คุณยายนั่งแล้ว เขาจะมีน้ำใจลุกให้ผู้หญิงคนนั้นนั่งต่ออีกหรือเปล่า? ก็คงเป็นแค่ความคิดขำๆ ผู้ชายคนนั้นยังเมินเหมือนเดิม ถึงที่หมายแล้ว ดิฉันต้องลง แต่ผู้ชาย ผู้หญิง และคุณยายคนนั้นยังคงอยู่บนรถไฟฟ้าต่อไป ระหว่างทางที่จะเดินขึ้นไปงานหนังสือ ในหัวก็มีแต่ความคิดว่า... หาน้ำใจไม่ได้แล้วเหรอ? คนไทย...

    ตอบลบ
  13. ไม่ระบุชื่อ12 มกราคม 2554 เวลา 04:38

    น.ส.ปิยพร พูนทา ม.4/4 วิชาพินิจวรรณกรรมซีไรต์

    กวีนิพนธ์ มือนั้นสีขาว ตอน "หลับ"
    เรื่องนี้น่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนที่ขึ้นรถเมล์เป็นที่ประจำ โดยเฉพาะเวลาที่มีคนแก่ หรือคนท้องขึ้นมา ก็จะไม่ค่อยมีใครลุกให้นั่งกระเป๋ารถเมล์ก็จะพูดจาประชดประชันก่อนก็อาจมีบางคนลุกให้นั่งบรรยากาศรถเมล์ตอนเย็นและตอนเช้าจะมีคนขึ้นมากเพราะเขาต้องไปทำงานและกลับบ้านกันยิ่งช่วงหน้าร้อนยิ่งมีแต่คนอารมณ์เสีย และยังมีการแข่งขันรถกลางถนนอันมีรถติดมากมายอีก รถที่แข่งกันไม่ใช่อะไรคือรถเมล์นี้แหละค่ะ ไม่รู้จะแข่งไปเอารางวัลที่ แข่งกันอยู่ได้เพื่อแย่งผู้โดยสาร แต่คนขับและกระเป๋ารถเมล์ไม่นึกถึงใจคนที่นั่งอยู่บนรถเลยว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร จะคิดอย่างไร คนขึ้นรถเมล์ก็เหมือนการฝากชีวิตไว้ชั่วขณะ และยังมีการใส่อารมณ์ของคนขับและกระเป๋ารถเมล์ไม่รู้ทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่มาลงที่ผู้โดยสาร มาอารมณ์เสียใส่ หน้าบูดใส่ ผู้โดยสารก็งงสิค่ะ แต่ไม่ใช่จะมีแบบนั้นเช่นเดียวแบบที่ดีๆก็มี
    คิดว่าสมัยมีแต่คนใช้แต่อารมณ์และแห้งน้ำใจ

    ตอบลบ
  14. ไม่ระบุชื่อ12 มกราคม 2554 เวลา 04:48

    น.ส.สาวิณี เดชะเมธากุล ม.4/6 เลขที่33

    บทกวีนิพนธ์ เรื่อง มือนั้นสีขาว ตอน หลับ

    มีเรื่องว่า สังคมในปัจจุบันนี้มีแต่คนไม่ค่อยมีนำใจที่จะยอม
    ลุกจากที่นั่งให้กับ เด็ก คนชรา คนตั้งท้อง และผู้หญิงเลย
    ส่วนมากจะเห็นแก่ตัวแกล้งทำเป็นไม่เห็นไม่สนใจบ้างเลยอย่างที่เห็น
    กันทุก ๆ วันนั้นเอง คนไทยปัจจุบันนี้ไม่ค่อยจะมีนําใจกัน
    ส่วนใหญ่จะเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นเด็ก คนชรา คนท้อง ผู้หญิง
    ก็รอว่าจะมีคนมีนําใจให้เรานั่งบ้างน้าแต่ทุกคนก็ไม่สนใจ
    บ้างคนนั่งมองออกไปหน้าต่าง แกล้งนั่งหลับ นั่งก้มหน้า
    โดยไม่มองหน้าใคร เมื่อถึงป้ายรถเมล์คนที่อยู่ในรถก็จะ
    แย้งกันลงแล้วมีคนเยอะด้วยทำให้หงุดหงิดอารมณ์เสีย
    บ้างครั้งที่เห็นกันอยู่บ่อย ๆ คืออัดกันลงจากรถโดยสาร
    รถเมล์ก็จอดให้ผู้โดยสารลงแปบเดียวแต่ผู้โดยสารต้อง
    ลงอย่างเร็ว วันนั้นหนูขึ้นรถเมล์ไปออกกำลังกายนั้นก็
    เห็นคนเมาที่นั้งอยู่บนรถเมล์คันที่หนูนั่งอยู่ตอนนั้นข้าง
    หลังแต่ถัดจากแถวนั้งมากหนึ่งแถวแต่คนที่เมานั้งอยู่ข้าง
    หลังคนระฝั่งกันกับตัวหนูตอนนั้นคนที่เมาไปหาเรื่องคนที่
    นั่งอยู่ด้านหน้าแบบว่าเอาเข่าของเขาไปทำให้
    เก้าอี้นั่งมันโยกและยังส่งเสียงดังรบกวนผู้โดยสารบน
    รถเมล์ทำให้คน ๆนั้นทนพฤติกรรมไม่ไหวจึงเกิดมีปาก
    เสียงกันแต่ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาห้ามไว้ได้ทันพอดี

    ตอบลบ
  15. กวีนิพนธ์ เรื่อง หลับ
    บทกวีนี้เป็นบทกวีที่สะท้อนให้เห็นถึงสังคมไทยในยุคปัจจุบันว่า คนในสมัยนี้ไม่ค่อยมีน้ำใจสักเท่าไรกับการที่ต้องลุกให้คนอื่นนั่ง ไม่ว่าจะมีคนท้อง คนชรา หรือเด็กขึ้นมาก็ไม่ลุกให้นั่ง บางคนก็แกล้งทำเป็นเมินไม่รู้ไม่ชี้
    บางคนก็ทำเป็นหลับไม่สนใจอะไร และก็สะท้อนถึงปัญหารถติดด้วย เพราะ
    คนสมัยนี้ไม่ค่อยมีรถใช้ส่วนตัวกันจึงต้องเดินทางโดยรถประจำทางบ่อยครั้ง และบทกวีนี้ก็ยังมีความตลกอยู่ในตอนสุดท้ายที่ว่า ‘เหลืองเหลืองปลิวมา
    พระนี่หว่า...เฮ้ยหลับ’ ซึ่งเป็นอะไรที่ฉันชอบมากและบ่งบอกว่าขนาดพระขึ้นรถมาก็ยังไม่มีน้ำใจให้เลย ดังนั้น ฉันคิดว่าเราควรที่จะมีน้ำใจต่อกันเพราะเราจะต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน

    น.ส. กุลจิรา อากาศ ม.4/4 (เพิมเติมซีไรต์)

    ตอบลบ
  16. ไม่ระบุชื่อ25 มกราคม 2554 เวลา 23:22

    น.ส. มณีรัตน์ กินรี ม.4/3 เลขที่ 13

    กวีนิพนธ์ มือนั้นสีขาว ตอน "หลับ"
    จากบทกวีที่ข้าพเจ้าได้อ่านมา...ชีวิตของคนในเมืองหรือชีวิตขอองคนกรุงต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงาน
    ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปเรียน
    ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำธุระ
    ต้องมาขึ้นรถเมย์
    ต้องมานั่งหลับ
    ต้องมาเสแสร้ง
    ต้องมาเป็นคนเห็นแก่ตัว
    ต้องทำเป็นไร้น้ำใจ
    ต้องมองผ่านสิ่งที่ดี
    ชีวิตของคนเรามันก็แปลกดีนะทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตน..เพราะความเห็นแก่ตัว

    ตอบลบ
  17. น.ส ภาวิณี มินโด ม.4/4
    จากเรื่องที่ได้อ่านมา ทำมให้เห็นว่า ปัจจุบันนี้ คนเรามีแต่ความเห็นแก่ตัว
    จะทำอะไรก็ทำเพื่อตัวเองไม่มองถึงคนอื่น ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นคนแก่ เด็กหรือคนท้อง คนเราก็เห็นตัวเอง ไม่เหก็นคุณค่าของคนอื่น ดังนั้นเราควรมี
    จิตใจที่มีน้ำใจ เอื้อซึ่งกันและกัน ควรมีน้ำใจกับผู้ที่อ่่อนแอกว่า การที่เราได้
    ทำอะไรให้กับใครสักคน มันมีความสุขกว่าการที่เราได้รับอะไรๆจากคนนับร้อยอีกค่ะ !

    ตอบลบ