๙. คุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีซีไรต์ปี ๒๕๒๓ จากผลงานกวีนิพนธ์ เพียงความเคลื่อนไหว แสดงทัศนะว่า
" ความรู้สึกแรก..พอได้รู้ว่าที่นี่เป็นแห่งแรกที่มีการสอนเรื่องซีไรต์ ก็อยากให้รางวัลซีไรต์กับโรงเรียนนี้...คือ รางวัลไม่ใช่เรื่องสูงสุด มันไม่ใช่เป็นการประเมินค่าของวรรณกรรมที่แท้จริง มันเป็นสถานะอันหนึ่งสำหรับในช่วงกาลเวลา หรือในงานในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ที่คุณค่าของมันคือ มันทำให้พัฒนาวรรณกรรมบ้านเราได้หรือเปล่า ผมเคยเสนอว่า การส่งเสริมหรือการพัฒนาให้เกิดวรรณกรรมที่ดีนั้น มันควรมีอย่างอื่นด้วย อย่างเช่นที่นี่...มีการเรียน การพูด มีการมาวิจารณ์กันนี่ นี่ก็เป็นการพัฒนาเรื่องวรรณกรรมอย่างหนึ่ง...มีการวิจารณ์..เวลานี้เราขาดนักวิจารณ์ ไม่เฉพาะวรรณกรรม ศิลปะทั้งหมด
สิ่งนี้ก็ต้องส่งเสริมกันขึ้นมา ไม่ใช่ประกวดอย่างเดียว.."
กวีนิพนธ์ เพียงความเคลื่อนไหว ตอน "ตากับยาย"
ตอบลบเรื่องจริงไม่อิงนิยาย ตากับยายอยู่ชายป่า
ทำไร่และไถนา ตามประสาอยู่อย่างไทย
ตายายไม่มีลูก แกปลูกเรือนหลังไม่ใหญ่
ชายป่านั้นมีไม้ แกเลื่อยมาทำฝากระดาน
ปลูกข้าวพอได้ข้าว ถั่วฝักยาวเลื้อยบนร้าน
ดอกบวบชะอวบบาน สุขสบายสองยายตา
อยู่มาไม่ช้านาน เกิดเหตุการณ์ธรรมดา
รถยนต์พาคนมา ตัดต้นไม้เข้าในเมือง
ป่าเหี้ยนเตียนโล่งหมด ไปจรดเขาหัวเหลือง
แดดร้อนราวไฟเรือง ลุกลามไหม้ไร่นาแล้ง
ฝนตกซกซกไหล น้ำบ่าไปในทุกแห่ง
นาล่มแล้วนาแล้ง น้ำนองหน้าสองตายาย
ตายายต้องย้ายถิ่น หมดแผ่นดินสิ้นสลาย
ยายตาตะเกียกตะกาย กระเดียดกระบายกระทายกระบุง
เรื่องจริงไม่อิงนิยาย ตากับยายมาตายในกรุง
ใครเลี้ยงใครบำรุง ใครทำลายตายายเรา
ช่วยตีความเรื่องนี้ให้ด้วยนะคะ
ลบน.ส.วิจิตตรา ฟักทับทิม ม.4/5
ตอบลบจากที่ได้อ่านกวีนิพนธ์บทนี้แล้วจะมีตากับยายที่อยู่ด้วยกัน2คนทำไร่
ทำนากันตามประสาคนแก่เป็นวิธีชีวิตของคนไทยตากับยายก็ไม่มีลูกเลย
สร้างบ้านหลังใหญ่แต่ก็ไม่มีลูกหลานแล้วคนไทยด้วยกันก็ยังไม่สนเลยว่า
จะเกิดผลกระทบต่อการทำไร่นาหรือเปล่าพากันตัดไม้ทำลายป่าทำให้เกิดผล
กระทบมากมายอย่างเช่นเวลาฝนตกมากๆน้ำก็ไหลเข้านาแล้วทำให้นาล้มเกิดผล
กระทบที่ทำความเสียหายแก่ชาวนาและตากับยายซึ่งเงินทองก็ไม่ค่อยแถมยังไม่มี
ลูกอีกไม่มีใครดูแลเลยและในเมื่อหมดทางทำมาหากินก็ต้องเข้ามาในเมืองกรุงเพื่อ
หาเงินมาใช้จ่ายแต่สุดท้ายก็ทำลายตากับยายนั่นเองเพราะไม่มีใครเลี้ยงบำรุงตากับยายเลย
น.ส. นฤมล อำมะลา ม.4/4 (วิชา พินิจวรรณกรรมวีไรต์)
ตอบลบจากบท กวีเรื่อง 'ตากับยาย'แสดงถึงการเป็นอยู่ของตากับยายสองผัวเมียที่ไม่มีลูก
ดำรงชีวิต แบบชาวไร่ชาวนากินอยู่กับธรรมชาติ อยู่แบบพอเพียงไม่ฟุ่มเฟือย อยู่ที่ชายป่า ที่สองตายายอยู่ นั้นอุดมสมบูรณ์ไปพืชพรรณธรรมไม้ต่างๆ
แต่อยู่มาไม่นานคนจากในเมืองก็ได้เข้ามาตัดไม้ จนแทบไม่มีเหลือสักต้น ทำไห้แดดร้อน อากาศแห้งแตกแร้ง เวลาฝนตก เวลาน้ำป่าก็พัดพาซัดสาดไป ทำไห้เสียหาย ตายายต้องย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย เพราะไม่มีที่อยู่ ที่ที่มีอยู่ก็ทำมาหากินอะไรไม่ได้ ต้องตะเกียกตะกายไปเรื่อย เพื่อไห้มีชีวิตอยู่ สุดท้ายตายาย ต้องมาอยุ่ในกรุงเทพ แล้วจะมีใครมาดูแล ตายายสองคนที่แก่เฒ่า --
เพิ่มเติม
ตอบลบน.ส.วิจิตตรา ฟักทับทิม ม.4/5
ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนชีวิตของคนในปัจจุบันที่ชอบตัดไม้ทำลายป่า
ไม่รักป่าไม้เลยทำลายธรรมชาติหมดฝนตกหนักทำให้น้ำท่วม
น.ส.นิภารัตน์ ศรีพิโรจน์ ชั้น ม.4/6
ตอบลบคนแก่ๆที่ไม่มีลูกมักจะปลูกบ้านหลังเล็กและปลูกข้าวไว้ข้างบ้าน
ปลูกผักต่างๆ อยู่อย่างเรียบง่ายและไม่ใช้ของฟุ้งเฟือย
อยู่ตามวิธีชีวิตแบบชาวบ้านถ้าคนที่มีจะสอนให้ลูกรู้จักกับคำว่าเศรษฐพอเพียง
และอยู่แบบพอมีพอกินไม่คิดถึงของที่ไม่จำเป็น
แต่เด็กที่อยู่ในเมืองจะไม่ค่อยได้เจอกับพ่อแม่สักเท่าไร
เพราะพ่อแม่มัวแต่ทำงานคิดถึงแต่อนาคตของลูกจึงลืมไปว่า
เด็กต้องการความเอาใจใส่จากพ่อแม่ พ่อแม่บางคนคิดว่าถ้าซื้อของที่ลูกอยากได้
แล้วจะทำให้เด็กมีความสุข แต่ที่จริงแล้วเด็กทุกคนต้องการความเอาใจใส่ของพ่อแม่
ที่ลูกทุกคนอยากได้ ไม่ให้ของที่ทำให้สบายชั่วคราวแต่เด็กทุกคนก็การความสบายใจ
ตลอดเวลาด้วยกันทั้งหมด
น.ส.วรานุช แสนเมืองมา ม.4/4 เลขที่32
ตอบลบกวีนิพนธ์ เพียงความเคลื่อนไหว ตอน "ตากับยาย"มาจากเรื่องจริงที่ไม่เกี่ยวกับนวนิยายตามความเป็นจริงแล้วบอกใด้เลยว่าส่วนมากคนแก่จะชอบอยู่กับธรรมชาติไม่ขอบให้ใครทำลายที่ๆตัวเองอยู่เช่นเดียวกับสองตายาย สองตายายไม่มีลูกให้สืบทอดเผ่าพันธุ์แกปลูกเรือนหลังไม่ใหญ่แต่ก็เป็นบ้านที่พออยู่กันสองคน แกปลูกข้าว ถั่วฟักยาวและบวบซึ้งดอกบวบใด้โตเต็มที่ สิ่งเหล่านี้พอที่จะทำให้สองตายายมีความสุขไปกับมัน พอเวลาผ่านไปไม่นานก็มีมนุษย์ใจร้ายกลุ่มหนึ่งมาตัดต้นไม้ทำลายป่าที่สองตายายนี้อาศัยอยู่ จนต้องหลีกหลบภัยต่างต่างที่มนุษย์ใจร้ายกลุ่นนั้นใด้กระทำไว้ ยกตัวอย่างเช่นภัยไฟไหม้ ภัยจากน้ำป่าใหลหลาก จึงทำให้สองตายายไม่มีที่อยู่อาศัยและไฟที่ใหม้ป่ามันลุกลามไหม้ที่นาของสองตายาย สองตายายจึงตะเกียกตะกายพากันเข้าไปหลบในเมืองใหญ่หมดสิ้นดินมลายที่อาศัยของสองตายาย และนี่คือเรื่องจริงที่ไม่อาจอิงนิยาย ตากับยายมาตายในเมืองกรุง
ใครละที่จะเลี้ยงและบำรุง ใครละที่มาทำลายตายายเรา แค่นี้น้ำตาก็จะไหลแล้ว ฮือๆๆๆ ๆๆ ๆ ชีวิตนี้...
เศร้า
น.ส ภัชชา แซ่ฉั่ว ม.4/6 เลขที่ 31
ตอบลบบทกวีพนธ์เรื่อง เพียงความเคลื่อนไหว ตอน ตากับยาย
คล้ายว่าจะเป็นการสะท้อนถึงมุมมองเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
เพราะจากการที่อ่าน กล่าวถึงตาและยายคู่หนึ่งที่อยู่ด้วยกันในป่า .
ใช้ชีวิตกันตามลำพังเพียงแค่สองคน ด้วยการปลูกผักกินกันเอง
หรืออะไรก็ตามที่สามารถนำมาดำรงค์ชีวิตได้.
แต่เพราะสังคมในสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี
จึงทำให้มีการตัดไม้ทำลายป่ากันมากขึ้นเรื่อย ๆ
ยิ่งตัดก็เท่ากับทำลายโลกด้วยมือของเราเอง
นางสาวพนิดา เกตุพจน์ ม.4/5
ตอบลบมุมมองเกี่ยวกับ กวีนิพนธ์ เพียงความเคลื่อนไหว ตอน "ตากับยาย"
อ่านแล้ว... ก็รู้สึกหดหู่ค่ะ มันเป็นอีกหนึ่งความจริงในสังคมไทย พวกชอบตัดไม้ทำลายป่า
คิดถึงแต่เรื่องเงินทอง ไม่ได้คำนึงถึงคนที่ยังต้องอาศัยป่าไม้อยู่ เลี้ยงปาก เลี้ยงท้อง
คนไทยเป็นพวกสังคมนิยม บ้าวัตถุนิยม และเห็นแต่ตัวเอง หลายต่อหลายคนมักลืมกำพืด ได้ดีแล้วทิ้งพ่อแม่ตัวเองให้ตกยาก กรณีตายายในกวีนิพนธ์เรื่องนี้ท่านไม่มีลูกหลาน ไม่มีใครเหลียวแล ท่านมีแต่กันและกัน ตายายสองคนแค่นั้น ท่านอยู่อย่างพอดีและพอเพียง ท่านไม่ระรานใคร ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่ทำไม?... ต้องมีคนมาระรานท่าน มีคนมาทำให้ท่านเดือดร้อน ก็จริงอย่างที่ในบทกวีบอก
'ตายายต้องย้ายถิ่น หมดแผ่นดินสิ้นสลาย
ยายตาตะเกียกตะกาย กระเดียดกระบายกระทายกระบุง
เรื่องจริงไม่อิงนิยาย ตากับยายมาตายในกรุง
ใครเลี้ยงใครบำรุง ใครทำลายตายายเรา'
ในเมื่อท่านเสียบ้าน เสียที่ทางทำมาหากิน ท่านก็ต้องย้ายถิ่นฐาน
เพื่อไปหาช่องทางทำมาหากินใหม่ แต่ตากับยายเป็นแค่คนแก่ ไม้ใกล้ฝั่งเต็มที
จะหาเรี่ยวแรงจากไหนมาดูแลตัวเอง หาเงินเลี้ยงตัวเอง...
ท่านก็ต้องเร่ร่อนเข้าไปในเมือง หวังว่าจะหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเราสองได้ แต่คงได้แต่ฝันไป ตากับยายแก่ทั้งคู่ อยู่ดูโลกมานาน ยิ่งดิ้นรนก็เหมือนยิ่งบั่นทอนลมหายใจตัวเอง... เมื่อหมดหนทาง หมดเรี่ยวแรง หมดทุกสิ่งอย่าง ...ก็คงจะหมดลมหายใจไปด้วยเหมือนกัน
น.ส.สาวิณี เดชะเมธากุล ม.4/6 เลชที่33
ตอบลบบทกวีพนธ์ เรื่องเพียงความเคลื่อนไหว ตอน ตากับยาย
บทกวีนิพนธ์บทนี้จะมีตากับยายที่อยู่ด้วยกัน2คนโดยการปลูก
ผักทำสวนทำไร่ทำนากันตามประสาของคนแก่ ตากับยายปลูก
บ้านอยู่ที่ไร่เพื่อชมธรรมชาติตากับยายอยู่กันสองคนอย่างมี
ความสุขอยู่ได้ไม่นานก็มีคนใจร้านใจบาปมาตัดไม้ทำลาย
ป่าที่เผาป่าทำให้ไฟไหม้เผาบ้านของตายายทำให้ตากับยายไม่มีที่
อยู่อาศัยหมดแผ่นดินสิ้นสลายตากับยายจึงต้องพากันไปกรุง
เทพเพื่อที่จะช่วยกันทำมาหากินเพื่องยังชีพของตนเองตากับ
ยายต้องดิ้นรนช่วยกันหาเงินมากซื้ออาหารเพื่อจะได้มีแรงที่
จะดำรงชีวิตช่วยกันทำงานไปได้แต่ยิ่งดิ้นรนทำงานก็เหมือน
ทอนลมหายใจของตากับยายจนเหนื่อยอ่อนไปหมดทั้งตัวเลย
จากที่ได้อ่านกวีนิพนธ์ของคุณ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีซีไรต์ ปี 2523 กวีนิพนธ์ เพียงความเคลื่อนไหว ตอน “ ตากับยาย“
ตอบลบในกวีนิพนธ์พูดถึงตากับยายคู่หนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่า ทำไรทำนาใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ตากับยายอยู่กันสองคน ไม่มีลูกหลาน ปลูกข้าวปลูกผักสวนครัวกินเอง ใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงภายในป่าที่มีต้นไม้ที่สูงใหญ่มีธรรมชาติที่สวยงาม ธรรมชาติไม่เคยทำร้ายมนุษย์มีแต่ให้ประโยชน์ ให้ความร่มรื่น แต่มนุษย์กลับทำร้ายธรรมชาติ โดยตัดไม้ทำลายป่า ตัดต้นไม้เพื่อนำไปขาย ทำให้ป่าไม่มีต้นไม้ เมื่อไม่มีต้นไม่ก็จะทำให้อากาศร้อน โลกร้อน เวลาฝนตก น้ำก็ท่วม นาข้าวเสียหาย และทำให้ตายายไม่มีที่อยู่ ต้องย้ายบ้านมาอยู่เมืองกรุง ซึ่งไม่มีใครดูแลต้องอยู่กันจตามลำพัง แล้วชีวิตของตายายจะเป็นอย่างไร ก็ยังไม่รู้เลยน่าสงสารจริงๆ จากที่อ่านบทวิจารณ์เนื้อหาสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์ไม่ใส่ใจดูแลป่าไม้ของตนเองไม่คำนึงถึงผลเสียที่ตามมา ถ้าทุกคนหันมาใส่ใจป่าไม้และโลกของเรา ดิฉันคิดว่ามันยังไม่สายเกนไป มาร่วมกันดูแลรักษาธรรมชาติอยู่กับเราไปนานๆ ขอบคุณค่ะ
นางสาวทิพวรรณ แจ่มจิตต์ ม.๔/๓ เลขที่ ๑๙
นางสาวพฤกษชาติ เชียงเสือ ม.๔/๓ เลขที่ ๓๖
ตอบลบค่ะจากที่ได้อ่านกวีนิพนธ์ เพียงความเคลื่อนไหว ของกวีซีไรต์ปี2523 คุณ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ตอน ตากับยาย เนื้อหาของเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตายายคู่อาศัยอยู่ในป่าด้วยกันตามลำพัง ตายายคู่นี้ไม่มีลูกไม่มีหลาน ทุกๆวันตายายคู่นี้ก็จะช่วยกันทำไร่ไถ่นา ตามวิถีชิวิตของคนสมัยก่อนและก็ยังนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้อีกด้วย ภายในป่าที่ตายายคู่นี้อาศัยอยู่เป็นป่าที่สวยงาม ตากับยายมีบ้านที่ไม่ใหญ่นัก และตาก็ได้ตัดไม้มาเป็นฝากระดานบ้าน
พืชพันธุ์ที่ตากับยายปลูกไว้ก็อุดมสมบูรณ์ แต่แล้ววันหนึ่งก็มีพวกที่ชอบตัดไม้ไปขายมาตัดไม้ที่ตากับยายอาศัยอยู่ซึ่งไม่ใช่ตัดแค่ครั้งด้วยเพราะมาตัดเรื่อยๆจนไม่มีต้นไม้ที่ให้ร่มเงา ตากับยายคู่นี้จึงได้ผลกระทบเลยต้องย้ายมาอยู่เมืองกรุง ซึ่งเมืองกรุงก็เป็นที่สุดท้ายของตายายคู่นี้ จากที่ได้อ่านเรื่องนี้รู้สึกสงสารตายายมากเพราะต้องจากบ้านที่มีทั้งธรรมชาติที่สวยงาม และไม่เป็นมลพิษเหมือนในเมืองกรุงอีกด้วย ซึ่งก็ตรงกับเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้เพราะก็มีคนหันมาตัดไม้ทำลายป่ากันมากขึ้น จนทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ประเทศที่มีน้ำแข็งน้ำแข็งก็ละลาย ภัยแล้ง น้ำท่วมเกิดขึ้นมากกว่าเดิมจนผิดปรกติ จนทำให้ทุกคนคิดว่าสักวันหนึ่งอาจจะมีวันสิ้นโลกได้ จึงอยากให้ทุกคนหันมาช่วยกันปลูกต้นไม้และอนุรักษ์ธรรมชาติกันให้มาก เพื่อจะได้มีโลกที่น่าอยู่กันต่อไปอีกนานๆ
น.ส.ซัลมา รัตนสินอนันต์ ม.4/3
ตอบลบชีวิตจริงไม่ได้แต่งขึ้นมามีตากับยายสองคนอาศัยอยู่ชายป่าทั้งสองไม่มีลูกหลาน ปลูกกระท่อมหลังเล็กๆๆไว้อาศัยโดยเลื่อยไม้จากชายป่ามาทำปลูกข้าวไว้สำหรับพอกินไม่ได้ค้าขายอะไร ริมรั้วมีถั่วฝักยาวเลื้อยอยู่ก็พอได้เก็บกิน ดอกบวบกำลังได้ที่ ตากับยายอยู่กันอย่างมีความสุขตามประสาคนพอมีพอกินและพอเพียงอยู่มาไม่นานนักก็มีรถพาคนเมืองมาตัดไม้ทำลายป่าที่ตากับยายเคยอยู่หลังจากนั้นป่าที่เคยสมบูรณ์ก็โล่งเตียนไปหมดยามกลางวันแดงก็ร้อนร้าวกับไฟทำให้ไฟไหม้ลุก ยามฝนตกก็น้ำท่วมไม่มีต้นไม้คอยซับน้ำ ฝนไม่ต้องตามตามฤดูกาลทุกอย่างเปลี่ยนไป ตากับยายต้องย้ายถิ่นฐานเพราะอยู่ไม่ได้เลยต้องย้ายถิ่นฐานจากบ้านเกิดไปอยู่เมืองหลวง ซึ่งคนต่างจังหวัดเมื่อเข้ามากรุงเทพจากที่ดิฉันเห็นก็ไม่รู้จะทำอะไรไม่รู้จะพึ่งใครยิ่งมีแค่สองคนตายายไม่มีญาติมิตรสหายที่ไหนแล้วหละก็ย่อมลำบากมีเพียงอาชีพเดียวคือขอทานแต่ในเรื่องนี้ตากับยายอาจจะไม่อยากขอใครกินก็ได้เพราะตากับยายยังแข็งแรงอยู่แต่จากนั้นไม่นานนักเงินทองก็เริ่มเหลือน้อยเต็มทีจึงไม่มีใครรับเข้าทำงานไม่มีสตางค์ที่จะกลับบ้านเกิดเลยต้องมาตายที่กรุงเทพ เพราะความเห็นแก่ตัวของพวกคนรวยคิดจะเอาแต่ได้ไม่คิดถึงความเดือดร้อนที่จะตามมา
น.ส. มณีรัตน์ กินรี ม.4/3 เลขที่ 13
ตอบลบกวีนิพนธ์ เพียงความเคลื่อนไหว ตอน "ตากับยาย"
เรื่องจริงไม่อิงนิยายเป็นชีวิตจริงของตากับยายคู่หนึ่งที่เป็นสามีภรรยากันอาศัยอยู่ด้วยกันแค่ 2คนเพราะทั่งตาและยายไม่มีลูกสาวหรือลูกชายไว้สืบตระกูลตากับยายอาศัยอยู่แถบชายป่าทั่ง 2คนเป็นชาวบ้านที่ธรรมดาตามประสาคนไทยในปัจจุบันคือ การทำไร่ทำนา ...
มุมมองของข้าพเจ้าคือ .. ตากับยายเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไปเหมือนกับคนไทยในปัจจุบันต่อมาวันหนึงเกิดการเปลี่ยนกิจวัติประจำวันของตากับยายจากเคยเป็นคน ทำสวน ทำไร่ ทำนา หากินกับป่าและธรรมชาติเหมือนคนบ้าน ๆ แต่ท่าน ทั่งสองต้องมาใช้ชีวิตในกรุงเทพ ที่เป็นเมืองที่มีแต่ความวุ้นวาย ไม่มีมิตรภาพที่แน่นอน ไม่มีความสุข มีแต่แสงสี มีแต่คนลวง มีแต่สิ่งที่ไม่คาดฝัน เปรียบได้กับคนต่างจังหวัดที่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพ หาเช้ากินค่ำ ใช้เงินยังกับพระเจ้าแสวงหาแต่ความสุขสบาย ไม่มีความจริงใจให้กัน แล้วตากับยายจะอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไง .... ป่าไม้คือชีวิตของคนทุกคนไม่ใช่แค่คนในชนบท....
ตากับยาย เป็นบทกวีที่สะท้อนถึงความเห็นแก่ตัวของคนคือ มีตากับยายคู่หนึ่งซึ่งใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีลูกหลาน แต่ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข กับความพอเพียงของสองตายาย แต่แล้วก็มีคนมาตัดไม้ทำลายป่าทำให้สองตายายไม่มีบ้านอยู่ซึ่งต้องไปอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่แล้วก็อยู่ไม่ได้ เพราะ สองตายายไม่เคยอยู่มาก่อน ฉันจึงรู้สึกว่า พวกที่ชอบตัดไม้เห็นแก่ตัวเพราะชอบสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นไม่ใช่ว่าแค่สองตายายอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องทำลายธรรมชาติทำให้สัตว์ป่าไม่มีที่อยู่ ฉันคิดว่าเราไม่ควรที่จะตัดไม้ทำลายป่า เราควรที่จะหันมาปลูกป่าเพื่อเป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติและเป็นการปลูกจิตสำนึกของคนให้มีความรักกันให้มากๆไม่ควรที่จะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเพียงอย่างเดียว จึงทำให้ผู้อื่นต้องตกทุกข์ได้ยาก
ตอบลบเพราะ ความเห็นแก่ตัวของตน ดังนั้นการที่คนเราจะรู้ถึงความทุกข์นั้นได้ก็ต้องเกิดขึ้นกับที่ตัวของเขาเอง
น.ส. กุลจิรา อากาศ ม.4/4 (เพิ่มเติมวรรณกรรมซีไรต์)
น.ส. ศศิธร ดอกพอง ม.4/5
ตอบลบจากบทกวี เพียงความเคลื่อนไหว ตอน "ตากับยาย"
ฉันคิดว่า... คนสมัยนี้ต่างพากันตัดไม้ทำลายป่า เพื่อการรวยทางลัด บุคคลพวกนี้ต่างพากันทำลายป่าไม้ ทำลายที่อยู่สัตว์ป่า ตลอดจนทำร้ายถิ่นฐานของผู้คนที่อาศัยอยู่ จากป่าไม้ที่ให้ความร่มเย็นเป็นสุข กลับกลายเป็นโล่งกว้าง สัตว์ป่าก็อพยพย้ายถิ่นที่อยู่ เมื่อถึงฤดูกาลหน้าฝน ก็พากันตกหนักไม่มีต้นไม้ที่จะค่อยซึมซับน้ำลงสู้พื้นดินเลี้ยงรากของตน ทำให้เกิดภัยพิบัติน้ำป่าไหลหลาก ท่วมท้องไร่ ท้องนา ผลิตผลล้มตายกันจำนวนมาก ผู้คนขาดแคลนและสูญเสียกันมากมาย ถึงฤดูร้อน ป่าแล้ง น้ำแห้งเหือดหาย แสงแดดจ้าแส่งกระทบพื้นดินแตกเปราะ สองตายายพอเจอสภาพแบบนี้แล้ว ฉันคิดว่าเป็นใครก็อยู่ไม่ได้ ก็คงต้องย้ายเข้ากรุงเข้าเมืองมาทำมาหากิน ห่าบแร่ขายของตามยถากรรมของสองตายาย ในเมืองก็มีแต่ควันพิษ จราจรติดขัด ไม่เหมือนธรรมชาติที่สองตายายย้ายมาอยู่ จึงเป็นให้สองตายายที่ทนสภาพแบบนี้ไม่ได้จึงจบชีวิตลงในกรุง พอเห็นแบบนี้แล้วเราก็ไม่ควรจะทำร้ายธรรมชาติที่สวยงาม ถ้าคนเหล่านั้นไม่คิดตัดไม้ทำร้ายป่าตั้งแต่แรก สองตายายคงมีชีวิตสงบสุขในถิ่นฐานของตน
น.ส.ชุติกาญจน์ ทองคำสาร ชั้นม.4/5
ตอบลบวิจารณ์กวีนิพนธ์เรื่อง"เพียงความเคลื่อนไหว"ตอน ตากับยาย
จากที่ได้อ่านแล้วมันเศร้ามากๆเลยค้ะT*T
ginjvกล่าวถึงตายายผัวเมียคู่หนึ่งที่ใช้ชีวิตตามวิถีไทย
ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ก็ใช้ชีวิตเรียบง่าย ปลูกข้าวปลูกพืช
กินเองตามประสาแต่พออยู่ไป ก็มีรถจากในเมืองมาตัด-
ไม้ไปขายจนหมดป่า ทำให้ป่าโล้นโจ้นไปหมด
พอเวลาฝนตกหนักๆน้ำก็ท่วมป่า ท่วมบ้าน
หน้าร้อนก็ร้อนแดดแผดเผา จนตายายอยู่ไม่ได้เดือดร้อนมากๆ
ก็ต้องอพยพจากบ้านเกิดไปอยู่ที่ๆไม่รู้จัก เร่ร่อนไปวันๆแกไม่มีใครดูแล
เพราะแกไม่มีลูกหลานที่ไหน จนถึงวันที่แกต้องตายก็โดดเดี่ยวอย่างเดิม..
น.ส. ชลิตา สุทธาวสินธุ์ ม4/5
ตอบลบกวีนิพนธ์ เพียงความเคลื่อนไหว ตอน "ตากับยาย"
จากการที่ได้อ่านเรื่องนี้ ฉันคิดว่า คนไทยสมัยนี้ชอบตัดไม้ทำลายป่า ทำให้คนที่ไม่รู้อะไรเลยต้องเดือดร้อนไปด้วย ทั้งๆที่ตากับยายก็อยู่ด้วยกันสองคนอย่างมีความสุขโดยอยู่แบบอย่างไทย ปลูกข้าวไว้มีพอกินแต่เพราะความโลภและความอยากมีเงินหรืออยากรวยทางลัดทำให้มีคนมาตัดไม้ในแถบที่ตากับยายอยู่ ทำให้แถบนั้นจากที่มีต้นไม้ที่เยอะ มีร่มจากเงาต้นไม้ ร่มเย็นเป็นสุขกลายมาเป็นพื้นที่ที่โล่ง ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย ทำให้ไร่ของตากับยายที่ปลูกข้าวไว้โดนแดดจนทำให้แดดเผาไหม้ไร่ของตากับยายจนหมด
และน้ำก็ยังท่วมไร่ของตากับยายอีก ตากับยายจึงต้องมาลำบากทั้งๆที่ใช้ชีวิตอย่างสบายมาตลอด เป็นเพราะคนสมัยนี้อยากจะรวยแต่ไม่คิดที่จะหางานทำแต่อยากมีเงินจึงใช้วิธีลัดคืือการตัดไม้ทำลายป่าซึ่งวิธีนี้ก็ไม่มีใครอยากจะให้มันเกิดขึ้นแต่เป็นเพราะความมักง่ายของคนในสมัยนี้ ถ้าไม่มีใครมาตัดต้นไม้ตากับยายก็คงจะอยู่ดี กินดีมีสุขไม่ต้องมาลำบากแบบนี้
น.ส.ปิยพร พูนทา ม.4/4 วิชาพินิจวรรณกรรมซีไรต์
ตอบลบกวีนิพนธ์ เพียงความเคลื่อนไหว ตอน "ตากับยาย"
อ่านแล้วอยู่กันสองคนอย่างมีความสุขอยู่แล้ว ตากับยายาอุตส่าห์ช่วยกันปลูกผักทำนา โดยไม่ได้ไปทำลายใครเลยแต่มีคนที่มีความโลภมาทำให้ตายายเดือดร้อน มาตัดต้นของตากับยายไปและยิ่งกว่านั้นยังมีภัยธรรมชาติมาซ้ำเติมตากับยายอีก จนตากับยายไม่เหลืออะไรเลย จนทำให้ตากับยายต้องย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพ แต่ก็ไม่ได้อยู่อย่างมีความสุขอาจจะเป็นเพราะตากับยายแก่ ต้องการคนดูแลแต่ก็ไม่มี รู้สึกเศร้าและสงสารตากับยายมากทำทุกอย่างขึ้นมากับมือแท้แต่ก็ด้วยมือคนโลภ และแถมยังไม่มีใครดูแลในยามแกอีก
น.ส ภาวิณี มินโด ม.4/4
ตอบลบจากที่ได้อ่นเรื่อง เรื่องจริงไม่อิงนิยายของตากับยาย
ทำให้เห็นได้ว่าตากับยายมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สบาย แสนเรียบง่าย ไม่ต้องยุ่ง
วุ่นวายกับใคร อยู่กินกันไปแบบพอเพียง ตากับยายทำงาน ปลุกข้าวปลูกน้ำ หากินกันอย่างเรียบง่าย แต่แล้ววันนึงก็มีเหตุพลิกผัน มีคนเข้ามาตัดไม้ทำลายป่า ทำลายแหล่งทำมาหากินของคนอื่น ทำลายธรรมชาติ ทำให้เกิด
เหตุภัยภิบัติธรรมชาติต่างๆนาๆ ทำให้ตากับยายไม่มีที่ทำกิน อู่ข้าวอู่น้ำถูก
ทำลาย ไม่มีแม้กระทั่งบ้านจะอาศัยต้องร่อนเร่ พเนจรไปอยู่ในกรุง ในที่ๆมีแต่ความวุ่นวาย โกลาหล ตากับยายที่เคยที่เคยชีวิตที่เรีบยง่ายก็ต้องตกระกำ
ลำบาก สุดท้ายตากับยายก้ต้องจากโลกนี้ไปเพราะไม่อาจจะทำมาหากินใน
เมืองที่มีแต่คนเห็นแก่ตัวแบบนี้ได้ ถ้าเรามองย้อนกลับไป เพียงแค่ความเห็น
แก่ตัวของคนไม่กี่คนที่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนกันมากมาย เราควรหันมา
สนใจธรรมชาติ มองเห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเรากันดีกว่าค่ะ ! >__<
จากการฟังลำนำบทกวีเกี่ยวกับนิยามของ "ความรัก" ของคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นในเชิงวิจารณ์และยกตัวอย่างในชีวิตจริงเปรียบเทียบ โดยเลือกจากบทกวีของคุณเนาวรัตน์บทที่ชอบที่สุด
ตอบลบนาย ธนพงศ์ ขัตธิ ม.4/6 เลขที่11
ตอบลบ(ทดลองโพสต์)
น.ส. นุชธิดา สีหราช ม.๔/๕
ตอบลบหลังจากได้ฟังบทกวีของ อาจารย์เนาวรัตน์ แล้วรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของความรัก
(ทดลองโพสต์)
น.ส ปรางมณี สวนหนองแวง ม.4/6
ตอบลบ(ทดลองโพสต์)
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบสุวนันท์ หอมชื่น ม.4/5 เลขที่ 33
ตอบลบความรักคือนิยายไร้นิยาม
(ทดลองโพสต์)
นางสาวนงนุช สมสุข ม.๔/๕ เลขที่๑๕
ตอบลบจากการฟังบทกวีนี้ ทำให้ดิฉันรู้จักความรักอย่างแท้จริงและรู้สึกชอบมากเพราะดิฉันมักจะชอบฟังอะไรที่เกี่ยวกับความรัก และมีประโยคนึงในบทนี้ที่ดิฉันประทับใจมากคือ "ความรักคือนิยาย ที่ไร้นิยาม" และดิฉันสามารถสำผัสได้ถึงความรักที่ยิ่งใหญ่
ณัฏฐณิชา เเสงไชย ม4/5 เลขที่30
ตอบลบความรักคือนิยาย
(ทดลองโพสต์)
555
ตอบลบน.ส สุวนันท์ หอมชื่น ม.๔/๕ เลขที่ ๓๓
ตอบลบจากการฟังบทกวีนี้ ทำให้ดิฉันรู้จักความรักอย่างแท้จริงและรู้สึกชอบมากทำให้เห็นถึงความรักหลากหลายนิยาม
แต่ข้อคิดที่ได้คือไม่ว่าเราจะมีความรักแบบไหนขอแค่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็พอแล้ว
ทดลองโพสต์
ตอบลบนางสาว นริศา เอี่ยมพงษ์ ม.๔/๕ เลขที่ ๓๒
ตอบลบจากการที่ดิฉันได้ฟังบทกวีนี้ ทำให้ฉันได้รู้ว่าความรักมีความผูกพันธ์ซึ่งกันและกัน มีความห่วงหาอาทร ความรักไม่มีคำจำกัดความ ความรักไม่มีเส้นพรมแดน ฉันฟังแล้วรู้สึกชอบมาก แล้วมีประโยคที่ฉันชอบมากๆเลยคือ ความรักคือสายใยโยงใจอยู่
นางสาวจุติพร ทับจันทร์ ม.๔/๕ เลขที่ ๓๕
ตอบลบบทกวีนี้ได้สอนให้ฉันรู้ซึ่งถึงคุณค่าของความรัก ความรักไม่ต้องการสิ่งตอบแทน และความรักไม่ต้องทนที่จะรัก ฉันฟังแล้วฉันรู้สึกอบอุ่นมากๆเลยค่ะ และฉันชอบบทกวีนี้มากๆเลยค่ะ
นางสาวนุชธิดา สีหราช ม.๔/๕ เลขที่ ๑๕
ตอบลบจากที่ดิฉันได้รับฟังบทกวีเกี่ยวกับความรักนี้ ทำให้ฉันได้รู้ว่าความรัก อาจมีนิยาม อาจมีคำจำกัดความ ว่างดงามเท่าไหน แต่นิยามของใจฉัน ใจก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร เพราะแค่มีเธอก็สุขใจ จนไม่ต้องหานิยามใดมาอธิบายค่ะ
นาย ฐิติพงศ์ คงประพันธ์ 4/3/2557
ตอบลบจากบทความที่ได้อ่านมานั้น เป็นบทความที่เห็นด้วยกับที่ได้กล่าวมา เพราะว่าสะท้องให้เห็นถึงชีวิตประจำวันของคนแต่ละคน รู้จักความรักอย่างแท้จริงและรู้สึกชอบมากทำให้เห็นถึงความรักหลากหลายนิยาม แลคาวมแตกต่างของความรัก ซึ่งทุกคนบนโลกนี้เกิดมาแล้ว ต้องอยู่กับความรัก หากไม่มีรัก ชีวิตก็ไม่มีสีสัน
คงเข้าใจสับสน ให้วิเคราะห์มุมมองวิชาพินิจวรรณกรรมซีไรต์ ให้ทำใหม่
ลบนางสาวนารีรัตน์ ศรีสุวรรณ์ ม4/5 2557
ตอบลบฉันเห็นด้วยกับคำที่ว่า"รางวัลไม่ใช่เรื่องสูงสุด มันไม่ใช่เป็นการประเมินค่าของวรรณกรรมที่แท้จริง มันเป็นสถานะอันหนึ่งสำหรับในช่วงกาลเวลา หรือในงานในระดับหนึ่งเท่านั้น"ฉันว่ามันจริงนะ รางวัล อาจจะไม่ใช่ทุกอย่าง ไม่ใช่ทุกสิ่ง ที่จะมาตัดสิน ความถูกต้อง ความดี ความเป็นที่หนึ่ง รางวัลอาจจเป็นแค่วัตถูๆหนึ่ง แต่ที่คุณค่าของมันคือ การพัฒนา ให้ดีขึ้น และดีกว่าเดิม
คำตอบให้เหตุผลดี เป็นมุมมองที่น่าสนใจ น่าติดตาม
ลบนางสาว เพชรไพลิน เตียวสกุล ม.4/3
ตอบลบจากมุมมองของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ได้เห็นมุมมองเกี่ยวกับการเรียนรู้จักวรรณกรรมซีไรต์ เพราะโรงเรียนเทพลีลาได้เปิดสอนวิชาพินิจวรรณาธรรมซีไรต์และได้เรียนรู้จักความคิดเห็นของคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ว่าท่านคิดอย่างไรในเรื่องวรรณกรรมซีไรต์ ที่นักเรียนใครหรือใครๆก็สามารถเรียนรู้กันได้
สงสัยการใช้คำที่ว่า การเรียนรู้จัก น่าจะใช้คำว่า การเรียนรู้และรู้จักมากกว่านะ วิชาพินิจวรรณกรรมซีไรต์เขียนให้ถูกต้องด้วย
ลบนางสาว วรรณพร ปานการะเกตุ ม.4/3 2557
ตอบลบจากการที่อ่านและได้ศึกษามุมมองของเนาวรัตน์ ได้รับความรู้มากมายเห็นด้วยกับ
ความคิดและการแสดงความคิดต่างๆโดยสื่อสารเป็นตัวอักษรให้คนอื่นได้รับรู้และสื่อสารต่อ
ควรขยายความคำว่ามากมายคืออะไรบ้าง ต้องการให้แสดงความคิดเห็นประกอบการเห็นด้วย
ลบนายเมธาสิทธิ์ เชี่ยวสุวรรณโชติ ม4/3 2557
ตอบลบเห็นด้วยกับรางวัลที่เขาได้ มันมีค่ามากกว่าที่จะหาอะไรมากเทียบได้ มันเป็นการรอคอยระหว่างเวลากว่าจะจัดขึ้น
พูดถึงมุมมองวิชาพินิจวรรณกรรมซีไรต์ ไม่ใช่รางวัลซีไรต์นะ
ลบน.ส.พรสุดา สำนักนิตย์ ม.4/3 /2557
ตอบลบดิฉันเห็นด้วยกับมุมมองของคุณเนาวรัตน์ เพราะมันทำให้เราเห็นคุณค่าสูงสุดของวรรณกรรม เพราะมันไม่ใช่แค่การประกวด เราสามารถนำมาเป็นวิชาเรียนวิชานี้ได้และสามารถนำมาสอนได้จริงและได้ความรู้สูงสุด
เหตุผลน่าฟัง ขอให้เรียนให้ได้ความรู้สูงสุดจริงๆจะเป็นผลดีแก่ตัวผู้เรียนเอง
ลบน.ส. กัลยา ผ่องบำรุงวงค์ ม.4/3/2557
ตอบลบเห็นด้วยกับมุมมองของคุณเนาวรัตน์ ค่ะ ที่บอกว่ารางวัลไม่ใช่การประเมินค่าที่แท้จริง ควรสงเสริมในด้านวรรณคดี วรรณกรรม ให้มากขึ้น เพราะเด็กไทยสมัยนี้สนใจแต่โลกโซเชียว